
เมื่อวันที่ 25 ส.ค.2568 นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานกำกับการสอบสวนคดี คดีอดีต 7 ตำรวจจราจร สังกัดกองกำกับ 1 บก.จร. ก่อเหตุร่วมกันทำร้าย นายธนานพเกิดศรีอายุ 34ปี หรือหนุ่ม มาสด้าแดง ได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณใกล้ด่านตรวจซอยประเสริฐมนูกิจ 21 แขวงเสนานิคม กทม. เมื่อช่วงเดือน ธ.ค.ปี 2567 เหตุเพราะเข้าใจผิดคิดว่า นายธนานพ เป็นคนขับรถมาสด้าสีแดงแหกด่านตรวจ แต่ภายหลังพบว่าเป็นการจับกุมเเละรุมกระทืบผิดตัว กล่าวถึงความคืบหน้าในคดี ว่า คดีนี้อัยการสูงสุดชี้ขาดให้ดีเอสไอเป็นผู้ดำเนินการสอบสวนในตามมาตรา 31 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวกำหนดไว้ชัดเจนอีกว่า ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ดีเอสไอ หรือฝ่ายปกครอง เป็นผู้สอบสวนก็จะต้องมีอัยการที่ได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด เข้าไปกำกับตรวจสอบสำนวนการสอบสวน คดีนี้อัยการสูงสุดได้ตั้ง ตนเป็นหัวหน้าคณะทำงานกำกับการสอบสวน พร้อมคณะอัยการรวม 5 คนและตั้ง นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรมกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และคณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอทำการสอบสวน
เเละดีเอสไอมีการประชุมกันวางแนวทางการสอบสวนแล้วได้มีการสอบปากคำ ผู้เสียหายและพยานรวมทั้งแพทย์จำนวนหลายปาก เเละมีมติแจ้งข้อหาผู้ต้องหาทั้งหมด แล้วนำสำนวนการสอบสวนมาให้ดูแล้ว เมื่อตนตรวจดูก็พบว่าสำนวนการสอบสวนเรียบร้อยดี ซึ่งดีเอสไอมีความเห็นสมควรฟ้องตามข้อหาที่แจ้งทั้งหมด โดยจะนัดนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมสำนวนไปส่งให้อัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตฯ ในวันที่ 1 ก.ย.ช่วงเช้า
โดยขั้นตอนหลังจากนี้คือเมื่ออัยการสำนักงานปราบทุจริตฯ รับสำนวนแล้วก็จะพิจารณาสำนวน หากเห็นด้วยกับดีเอสไอ ไม่มีประเด็นไหนที่จะต้องสอบสวนเพิ่มเติมก็จะมีคำสั่งและนำตัวผู้ต้องหามาฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯและประพฤติมิชอบกลางได้ แต่หากยังเห็นว่ามีประเด็นต้องสอบสวนเพิ่มเติมก็อาจจะสั่งสอบสวนเพิ่มเติมอีกได้
นายวัชรินทร์ กล่าวต่อว่าเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ กฏหมายฉบับนี้ออกมาเมื่อ 2ปีที่เล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดของเจ้าหน้าที่ ที่มีอำนาจสืบสวนจับกุม และควบคุมตัว คือเมื่อจับแจ้งข้อหาและสิทธิต่างๆแล้ว ต้องส่งตัวให้พนักงานสอบสวนทันที กฏหมายฉบับนี้เจตนารมณ์ ให้จับแล้วส่งตัวทันทีไม่ได้ให้ไปเข้าเซฟเฮาส์หรือไปขยายผล
เมื่อจับกุมแล้วก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำร้ายร่างกายผู้ที่ถูกจับกุมแต่อย่างใดเพราะจะต้องมีการถ่ายรูปและถ่ายวิดีโอไว้ส่งให้อัยการตรวจสอบการจับกุมว่าไม่ใช่ซ้อมทรมานหรือขู่เข็ญบังคับ แต่ส่วนใหญ่ที่เกิดปัญหา ก็เป็นเรื่องจับกุมแล้วไปรีดเงินเขา ไม่ส่งพนักงานสอบสวนพาไปบังคับให้รับสารภาพ พอมีเรื่องก็ถูกดำเนินคดี กฏหมายฉบับนี้ถ้าตำรวจกระทำโดยชอบจะไม่น่ากลัว แถมจะเป็นเกราะป้องกันหากถูกผู้ต้องหาฟ้องร้องดำเนินคดี ฝากผู้ปฏิบัติหน้าที่ว่าเดินตามรอยกฏหมายไม่มีใครทำอะไรเราได้
“กฎหมายกำหนดให้มีการถ่ายภาพถ่ายวีดีโอ
แล้วมีหน่วยงานที่เป็นกลางก็คืออัยการมาตรวจสอบการจับกุม วีดีโอเเละภาพถ่ายพวกนี้คือหลักฐานว่าเราจับโดยโดยชอบหากมีผู้ต้องหาร้องเรียน เราก็จะรอดพ้นจากการถูกดําเนินคดี แต่ถ้าเราไม่ทำตามกฎหมาย ผลก็จะตามมาอย่างที่เห็นๆกัน หลายคดีมีผู้ต้องหาเป็นถึงระดับนายพลก็ถูกดําเนินคดี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ เพราะมีโอกาสในการทําให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ เเต่เผอิญอาจจะไม่ได้ทําเพราะคิดว่าไม่มีปัญหา แต่สุดท้ายพอมีปัญหาตามมา ต้องมาโดนฟ้องนั่งแก้คดีไม่รู้ชะตากรรมในชีวิตจะเป็นอย่างไร ” รองอธิบดีอัยการระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับรายชื่อผู้ต้องหาทั้ง 7 อดีตตำรวจประกอบด้วย
1. ร.ต.อ. ทวีพงษ์ อึดทุม – รอง สว. งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร.
2. ส.ต.อ. วีรพงษ์ มะณี – ผบ.หมู่ งานสายตรวจ 5 กก.1 บก.จร.
3. ส.ต.อ. ปพนธีร์ เลิศอนันต์ – ผบ.หมู่ งานสายตรวจ 5 กก.1 บก.จร.
4. ส.ต.อ. กีรติ ประสพโชค – ผบ.หมู่ งานสายตรวจ 5 กก.1 บก.จร.
5. ส.ต.อ. วัชรวี ทวีบุรุษ – ผบ.หมู่ งานสายตรวจ 5 กก.1 บก.จร.
6. ส.ต.อ. จักรินทร์ ใคร่ครวญ – ผบ.หมู่ งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร.
7. ส.ต.ท. ณัฐพงษ์ ดุษฎี – ผบ.หมู่ งานสายตรวจ 2 กก.1 บก.จร.
โดยทั้ง 7 คน ซึ่งปัจจุบันโดนให้ออกจากราชการเเละถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายเเรง โดนเเจ้งข้อหาทางอาญาดังต่อไปนี้
1.พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 5
ฐาน “กระทำการทรมาน” เป็นข้อหาที่โทษหนักสุดในคดีนี้ คือจำคุก 5–15 ปี (ถ้าทำให้บาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตโทษหนักขึ้น)
2.ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงาน ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
3.ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297,309, 310 ร่วมกันทำร้ายร่างกายสาหัส/ข่มขืนใจผู้อื่น / หน่วงเหนี่ยวกักขังโดยมิชอบ
4.พ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ฐานเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ