
8 พฤษภาคม 2568 ที่สภาทนายความฯ ถนนพหลโยธิน กทม. กลุ่มผู้เสียหาย จากการถูกเจ้าของหอพักแห่งหนึ่งเอาเปรียบจากการเปลี่ยนสัญญาเช่ากลางคัน เดินทางเข้ามายื่นหนังสือต่อสภาทนายความ
โดยมี ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ และนายวีรศักดิ์ โชติวานิช อุปนายกฝ่ายเทคโนโลยีและสารสนเทศเป็นผู้รับเรื่อง
นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นกรณีเกี่ยวกับหอพักซึ่งมีกฎหมายควบคุมหลายฉบับ โดยธุรกิจหอพักเป็นธุรกิจเพื่อให้เช่าพักอาศัย ไม่ใช่การประกอบธุรกิจ
ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้ามากำกับดูแล เนื่องจากมีระเบียบเกี่ยวกับการเช่าเพื่อที่อยู่อาศัย
ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ข้อเท็จจริงที่ตนกล่าวได้รับมาจากสื่อออนไลน์ยังไม่ได้สอบข้อเท็จจริงจากผู้เสียหายโดยตรง ซึ่งตนขอยกประเด็นที่เกี่ยวกับเจ้าของหอพักมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่า โดยที่ผู้เช่าไม่ยินยอม อาจเข้าข่ายปลอมเอกสารซึ่งเป็นความผิดทางอาญา
ประเด็นต่อมาคือการที่นักศึกษาคนหนึ่งอยากย้ายออกจากหอและให้พ่อของตัวเองเข้ามารับปรากฎว่าถูกเจ้าของหอพักกักขัง การกระทำดังกล่าวกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจเจ้าของหอพัก เป็นการละเมิดกฎหมายฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวทำให้สูญเสียเสรีภาพ
ซึ่งทั้งสองประเด็นที่กล่าวไปยอมความไม่ได้เพราะเป็นคดีอาญาแผ่นดิน นอกจากนี้ยังมีบางรายที่ถูกยึดเอกสารสำคัญ และ ไอเเพดซึ่งต่อให้ผู้เช่าผิดสัญญาเช่าก็ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าของหอพักที่ไปยึดทรัพย์ของผู้เช่า แน่นอนว่าเป็นความผิดเข้าข่ายการลักทรัพย์อย่างแน่นอน
นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนประเด็นใดที่เป็นความผิดอาญาแผ่นดินจะมีอายุความ 5 ปี ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในระยะเวลา 5 ปี ก็สามารถดำเนินคดีได้ และตนกังวลว่าเรื่องนี้จะเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ แต่ดูจากจำนวนผู้เสียหายแล้วนี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในส่วนของภาครัฐจะต้องเข้ามาดูแลทั้งเรื่องการก่อสร้าง สัญญาดูแลผู้เช่า การทำธุรกิจหอพักถูกต้องหรือไม่ เช่นมาตรการรักษาความปลอดภัย ทางหนีไฟ สุขลักษณะ มีการต่อสัญญาขออนุญาตเปิดหอพักหรือไม่
โดยเฉพาะมาตรการทางภาษีให้กับภาครัฐเรียบร้อยหรือไม่ และบางรายงานข่าวกล่าวว่าเจ้าของหอมีความใกล้ชิดผู้มีอิทธิพล ทางสภาทนายความ ถ้าประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมและเกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะเราจะเข้าไปดำเนินการให้เด็ดขาด เพราะอิทธิพลไม่สามารถอยู่เหนือสภาทนายความได้ อย่างไรก็ตามถ้าข้อเท็จจริงสาวถึงตัวบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง อาจจะเข้าข่ายเป็นตัวการร่วมและสนับสนุนหรือรู้อยู่แล้วว่าถูกเอาชื่อไปอ้างและยินยอมก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย
นายวีรศักดิ์ กล่าวเสริมว่า สำหรับผู้เสียหายและตัวแทนผู้เสียหายที่จะมาขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความ หากว่ามีรายใดเคยแจ้งความร้องทุกข์ผ่านพนักงานสอบสวนไม่ว่าสถานีตำรวจที่ไหน และมีข้อมูลคัดถ่าย บันทึกประจำวัน ตนขอให้ถ่ายสำเนานั้นไว้และยื่นขอความช่วยเหลือ แต่ถ้าหากว่าไม่มี แต่จำวันและสถานีตำรวจที่แจ้งความ และเลขข้อประจำวัน สามารถไปขอข้อมูลมาได้ทางเราจะได้ติดตามว่าสถานะของคดีนี้ถึงไหนแล้ว
ด้าน ดร.วิเชียร กล่าวว่า หลังจากรับเรื่องแล้วจะมีการสอบข้อเท็จจริงจากผู้เสียหายที่มาในวันนี้รวมถึงคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยรังสิตที่เป็นตัวแทนของผู้เสียหายบางส่วน เพื่อให้ทนายความอาสาได้ลงรายละเอียดไว้เป็นข้อมูล ส่วนอีกด้านหนึ่งตนจะรีบตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว
เมื่อถามว่าหากพบว่าเป็นความผิดทางอาญา ทางสภาทนายความจะทำอย่างไรต่อไป นายวิเชียร กล่าวว่า การดำเนินคดีอาญามี 2 แนวทาง แนวทางแรกคือการแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน และเข้าสู่กระบวนการของพนักงานอัยการและนำคดีขึ้นชั้นศาล กรณีนี้ผู้เสียหายสามารถเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ในบางข้อหา และอีกช่องทางหนึ่ง ถ้าผู้เสียหายประสงค์ดำเนินคดีด้วยตนเอง
สภาทนายความยินที่ที่จะเข้าไปเป็นทนายความให้กับผู้เสียหาย หากมีความจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอก สภาทนายความยินดีที่จะช่วยประสานงาน แต่ดูแล้วกรณีนี้พยานหลักฐานต่าง ๆ อยู่ที่ผู้เสียหายเป็นส่วนใหญ่ จำนวนผู้เสียหายเบื้องต้น 70 ราย และยังมีส่วนที่มหาวิทยาลัยเป็นตัวแทนอีกด้วย ซึ่งตนคาดว่าน่าจะมีมากกว่านี้เนื่องจากผู้เสียหายบางรายยังไม่กล้าเปิดเผยตัวเองเนื่องจากกลัวเรื่องอิทธิพล
จากนั้น ดร.วิเชียรก็ได้พูดคุยข้อเท็จจริงกับกลุ่มผู้เสียหาย