
6 เมษายน 2568 จากการยกเลิกเพิกถอนบีโอไอ(BOI) หรือสิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุน สำหรับบริษัทที่ไม่ควรจะได้รับ เพราะมีพฤติกรรมสูบเลือดคนไทยและประเทศไทย โดยล่าสุดนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ประกาศยกเลิก BOI บริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CREC 10 หนึ่งในบริษัทร่วมก่อสร้างตึก สตง.ถล่ม จากเหตุแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และสูญหายจำนวนมากนั้น
โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้รับคดีตึก สตง.ถล่ม ไว้เป็นคดีพิเศษ โดยพบว่า บริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด มีชื่อคนไทยเป็นนอมินี 3 คน
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้มีการยกเลิก BOI กับหลายบริษัทที่มีคนไทยเป็นนอมินี และเป็นคดีในความรับผิดชอบของดีเอสไอเมื่อปี 2565 ซึ่งการพิสูจน์ความเป็นนอมินี ไม่ใช่เรื่องง่าย
บริษัทที่ถูกดำเนินคดี เป็นสำนักงานกฎหมายและบัญชีแห่งหนึ่งใน จ. ภูเก็ต
พฤติการณ์กระทำการเป็นเครือข่ายคนไทย จดทะเบียนบริษัท “นอมินี” ให้ชาวต่างชาติ มีนิติบุคคลต้องสงสัย จำนวนกว่า 60 บริษัท โดยเครือข่ายคนไทยเป็นตัวกลางของหลายบริษัท รับจ้างจดทะเบียนนิติบุคคล รับทำบัญชีให้คำปรึกษาด้านภาษีและใบอนุญาตทำงาน (work permit) โดยใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินี นำชื่อคนไทยไปเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในหลายบริษัท ทำให้นิติบุคคลต่างด้าวสามารถประกอบธุรกิจที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือถือครองอสังหาริมทรัพย์ได้
เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542
คดีนี้มีการ ยื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้งบุคคลธรรมดาชาวไทย ชาวต่างด้าว นิติบุคคลไทย และนิติบุคคลต่างด้าว รวมทั้งสิ้น 23 ราย
ต่อมาศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้ง 23 ราย ในความผิดฐานร่วมกันให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และความผิดฐานเป็นคนต่างด้าว ยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทยให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
พิพากษาจำคุก 10 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จึงลดโทษลงกึ่งหนึ่งคงเหลือโทษจำคุก 5 ปี ประกอบกับจำเลยไม่เคยมีประวัติการกระทำความผิดมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้ มีกำหนด 2 ปี
ปรับรายละ 200,000 บาท ให้คุมความประพฤติจำเลย 1 ปี และให้จดทะเบียนเลิกบริษัท หากไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ให้ชำระค่าปรับล่าช้าวันละ 10,000 บาท ตลอดระยะเวลาที่ฝ่าฝืนคำสั่ง