11 มีนาคม 2568 ที่ อาคารเอนกประสงค์ กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค1 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เดินทางเข้ามาให้การ กับคณะพนักงานสอบสวน ในคดีผู้บงการคดีเป้ 140 ล้าน และในฐานะผู้รับมอบอำนาจ ผกก.โจ้ ได้เปิดข้อมูลการเสียชีวิตของ ผกก.โจ้ ว่า มาจากสาเหตุอะไร เพื่อไม่ให้มีการบิดเบือนข่าว
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า เรื่องราวของ ผกก.โจ้ เป็นที่สนใจของสังคม มีผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคน ไม่ทางตรง ก็ทางอ้อม ต่างออกให้ข่าวต่าง ๆ นานา ตนก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เพิ่งออกมาให้ข้อมูลเชิงลึกบางอย่าง เกี่ยวกับเรื่องราวของ ผกก.โจ้ จึงมีคำถามว่า ตนเข้ามาเกี่ยวข้องกับ ผกก.โจ้ ได้อย่างไร
ตนจึงมาตอบข้อสงสัยว่า ตนนั้นไม่ได้มาเสือกโดยไม่มีเหตุผล แต่เป็นเพราะได้รับมอบอำนาจ ผกก.โจ้ เมื่อ 3 เม.ย.66 ให้ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับ "บิ๊กตำรวจ" ในข้อหาลักทรัพย์รถยนต์จำนวน 13 คัน มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ไปขายโดยอ้างว่าใช้เป็นเงินในการต่อสู้คดี
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า สำหรับรถยนต์ทั้ง 13 คันนั้น มีชื่อ ผกก.โจ้ เป็นผู้ครอบครอง แต่ได้มอบอำนาจให้น้องสาว เป็นผู้ดำเนินการดูแลและขาย ซึ่งทาง "บิ๊กตำรวจ" นายดังกล่าวและพวก ได้หลอกล่อให้น้องสาว ผกก.โจ้ ลงนามเอกสารต่าง ๆ เพื่อขายรถนำเงินไปจ้างทนายความสู้คดี
กระทั่ง ผกก.โจ้ มาทราบจากน้องสาวภายหลัง จึงเห็นว่าถูกหลอก เพราะการจ้างทนายความสู้คดี ไม่ได้ใช้เงินมากขนาดนี้ ทางน้องสาวและแฟนของ ผกก.โจ้ จึงมาร้องขอตนให้เข้าไปช่วยเหลือในคดีนี้ จึงมีการทำหนังสือมอบอำนาจ ให้เป็นผู้ดำเนินการ
ต่อมามีการแจ้งความไว้ที่กองบังคับการปราบปราม เพื่อเอาผิด "บิ๊กตำรวจ" และพวก แต่พนักงานสอบสวนกลับมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ตนจึงไปปรึกษากับ ผกก.โจ้ ว่า ควรฟ้องเองจะดีกว่า ซึ่ง ผกก.โจ้ ก็เห็นด้วย แต่ยังไม่ทันได้ดำเนินการ ก็มาเสียชีวิตเสียก่อน
ส่วนการเสียชีวิตของ ผกก.โจ้ นั้น มาจากการฆ่าตัวตายแน่นอน ไม่มีใครไปทำร้าย หรือไปฆ่า เพราะที่ผ่านมาหลังจาก ผกก.โจ้ ถูกดำเนินคดีคลุมถุงดำ ก็มีความเครียดมาตลอด คนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และเพื่อนฝูง ที่เคยรับผลประโยชน์ และให้ความไว้วางใจ ฝากเงินและทรัพย์สินไว้ให้ ต่างก็พากันหนีหายไม่ช่วยเหลือ แถมยังหักหลัง ทำให้ ผกก.โจ้
อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องครอบครัว ทราบมาว่า ทุกครั้งที่น้องสาวไปเยี่ยม ผกก.โจ้ ที่เรือนจำ มักจะมีปากเสียงทะเบาะกันเกือบทุกครั้ง เพราะน้องสาวไม่ไปดำเนินการตามที่บอกไว้ จึงทำให้เกิดความเครียดสะสม ถึงขั้นฆ่าตัวตายในเรือนจำ
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่า กรมราชทัณฑ์ควรจะออกมาชี้แจงด้วยความโปร่งใสตั้งแต่แรก เช่น เชิญสื่อมวลชน , ญาติ และผู้เกี่ยวข้องเข้าไปดูภาพวงจรปิด ตั้งแต่ ผกก.โจ้ ยังมีชีวิต จนถึงเวลาที่พบว่า เสียชีวิต เพื่อไม่ให้เกิดความเคลือบแครงใจแก่สังคมและญาติ เพราะความจริงก็คือความจริง ควรเปิดเผย อย่างโปร่งใสตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพิ่งมาทำกัน
สำหรับตนนั้น ได้เข้าไปเยี่ยม ผกก.โจ้ ที่เรือนจำครั้งสุดท้าย เมื่อปลายปี 2567 ทุกครั้งที่เข้าไปเยี่ยม จะมีการพูดคุยระบายเรื่องราวต่าง ๆ นานา ให้ฟังตลอด ตนก็ให้คำแนะนำในการสู้คดีลักทรัพย์รถยนต์ควบคู่กันไป ซึ่งทุกครั้ง ผกก.โจ้ ก็จะมีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนเรื่องที่ ผกก.โจ้ ถูกทำร้ายในเรือนจำแดน 7 นั้น ก็เป็นเรื่องจริง สาเหตุเป็นเพราะเคยเป็นตำรวจ จึงทนเห็นสิ่งที่มันไม่ถูกไม่ควรไม่ได้ ได้มีการร้องเรียนพฤติกรรมของกับผู้คุมคนหนึ่ง ทำเกิดความไม่พอใจ สั่งให้นักโทษที่เป็นลูกน้องมาทำร้าย แต่ก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร ซึ่งต่อมา ผกก.โจ้ ก็ทำหนังสือไม่ติดใจเอาความ เรื่องราวก็จบกันไป
พอตนทราบว่า ผกก.โจ้ ถูกทำร้าย จึงเสนอให้ความช่วยเหลือ โดยการให้ ผกก.โจ้ ย้ายแดน จากแดน 7 ไปอยู่แดน 5 ซึ่งมีความปลอดภัยกว่า เพราะไม่ต้องอยู่รวมกับคนอื่น มีห้องขังและห้องน้ำส่วนตัว ไม่ต้องใส่โซ่ตรวน ถึงเวลาก็ออกมากินข้าว อยากทำอะไรก็ทำ ผู้คนไม่พลุกพล่าน อยู่สบายกว่าอยู่แดน 7 จึงทำเรื่องขอไปยังอดีตผู้บัญชาการเรือนจำคลองเปรม เพื่อขอย้ายแดนให้แก่ ผกก.โจ้ ต่อมาได้มีการย้ายมาอยู่ที่แดน 5 ซึ่งเป็นความยินยอมของ ผกก.โจ้ เอง และยังบอกว่า ขออยู่คนเดียวไม่ขออยู่ร่วมกับผู้อื่นในห้องเดียวกัน
ส่วนที่มีอดีตนักโทษและผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาบอกว่า แดน 5 เป็นแดนที่โหด สำหรับลงโทษผู้ต้องหาที่มีความผิดร้ายแรงนั้น ไม่เป็นความจริง ในความเป็นจริงแล้วแดน 5 มีแต่คนอยากไปอยู่
“และนี่ก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่จะตอบได้ว่า ทำไมตนถึงเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง และมีความสัมพันธ์กับ ผกก.โจ้ ได้อย่างไร ไม่ได้อยากมาเสือกตามที่หลายคนเข้าใจ แต่มาเกี่ยวข้องเพราะได้รับมอบอำนาจอย่างถูกต้องตาม กม.”
นอกเหนือจากคดีถุงดำที่ ผกก.โจ้ และพวกตกเป็นจำเลย ซึ่งศาลพิพากษาลงโทษรับกรรมไปแล้ว ตนเห็นว่า ผกก.โจ้ เป็นคนที่น่าสงสาร ที่ต้องทนช้ำใจกับการถูกหักหลังของคนรอบข้างที่เคารพนับถือ และไว้เนื้อเชื่อใจ จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะเบื่อหน่าย และช้ำใจกับเรื่องราวแย่ ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต”
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ในส่วนคดีที่รถของ ผกก.โจ้ ถูกลักทรัพย์ไปขายนั้น ภายหลังคู่กรณีได้คืนรถกลับมาให้ครอบครัวแค่ 4 คัน อีก 9 คัน ขายไปตกอยู่ในกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นแล้ว แต่เงินไม่ตกมาถึงครอบครัว ผกก.โจ้ เลยแม้แต่บาทเดียว ตอนนี้ตนรอให้คดีที่ถูก "บิ๊กตำรวจ" ฟ้องหมิ่นฯ สิ้นสุดลงในชั้นอุทธรณ์ ก็จะดำเนินการฟ้องร้องกลับ ในคดีลักทรัพย์รถยนต์ของ ผกก.โจ้ ต่อ เพราะถือว่า เป็นผู้รับมอบอำนาจ แม้ ผกก.โจ้ จะเสียชีวิตก็ตาม ตราบใดที่หนังสือมอบอำนาจ ยังไม่ได้มีการยกเลิกจากผู้มอบอำนาจ ผู้รับมอบอำนาจ ก็จะสามารถดำเนินการต่อไปได้ บอกเลยว่าเรื่องยังไม่จบเพียงแค่นี้อย่างแน่นอน
วันเดียวกันที่ สน.ประชาชื่น พลตำรวจโท สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในการเรียกประชุมคดี ผกก.โจ้ เสียชีวิต โดยมี พล.ต.ท. สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต. วาที อัศวุตมางกุร ผู้บัญชาการพิสูจน์หลักฐาน พ.ต.อ.สัญญา อุบลวิรัตนา ผู้กำกับ สน.ประชาชื่น ทีมแพทย์สถาบันนิติเวชวิทยาโรงพยาบาล ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ชุดทำคดี สน.ประชาชื่น เข้าร่วมประชุม
พลตำรวจโท สมประสงค์ เปิดเผยก่อนการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้ได้มาดูแลด้วยตนเองเนื่องจาก เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ และ ผบ.ตร.ได้กำชับให้ดูแลคดีให้ละเอียดรอบคอบ ดำเนินคดีเป็นไปตามกฎหมาย โดยจะเร่งติดตามความคืบหน้า และตรวจสอบในคดี ผกก. โจ้ เสียชีวิต โดยขณะนี้จะเน้นเรื่องสำนวนการเสียชีวิตของ ผกก.โจ้ เป็นหลักก่อน
สำหรับประเด็นที่ต้องสอบสวนสืบสวน ในเรื่องการเสียชีวิต ของ ผกก.โจ้ /อาทิ ช่วงเหตุการณ์เกิดอะไรขึ้น / มีผู้อยู่หรือเห็นเหตุการณ์หรือไม่ / โดยจะมีการสอบปากคำพยานในกลุ่มต่างๆ อาทิ ผู้ที่อยู่ในเรือนจำ /ผู้ต้องขัง/ ผู้เห็นหตุการณ์ /เจ้าหน้าที่เรือนจำ /รวมถึงแพทย์ที่ชันสูตรพลิกศพ
ส่วนพยานหลักฐาน ภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณห้องขัง ผกก.โจ้ /ผ้าขนหนูที่ใช้ผูกคอ / เบื้องต้นทางกรมราชทัณฑ์ ได้ส่งภาพกล้องวงจรปิด บริเวณห้องขังผกก.โจ้ มาให้บางส่วน อยู่ระหว่างตรวจสอบ
นอกจากนี้ ประเด็นที่แฟนสาวมาแจ้งความเรื่อง ผกก.โจ้ ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ แต่ตำรวจไม่มีการตรวจสอบและคดีไม่คืบหน้านั้น ก็ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร และต้องตรวจสอบพนักงานสอบสวนดำเนินการไปอย่างรอบคอบ หรือบกพร่องต่อหน้าที่หรือไม่ ในส่วนทางสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ จะมีการใชันสูตรพลิกศพ ผกก.โจ้ ซ้ำอีกหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับทางครอบครัวผู้เสียชีวิต แต่ขณะนี้ยังไม่มีการร้องขอเข้ามา
////////////////////