3 มกราคม 2568 จากกรณี น.ส.ธนัฎฐา ยอดเยี่ยม หรือ "เจ๊หนิง" อดีตอาจารย์พิเศษโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน แจ้งความดำเนินคดี "เมียอดีตบิ๊กตำรวจ" ก่อเหตุลักทรัพย์มูลค่ารวมเกือบ 6 ล้าน ซึ่งเป็นสินสอดในงานแต่งงาน โดยแจ้งความข้อหา "ลักทรัพย์ในเคหสถาน และบุกรุกเคหสถาน" ต่อมา เมียอดีตบิ๊กตำรวจ ได้แจ้งความกลับคู่กรณี "ข้อหาแจ้งความเท็จ กลั่นแกล้งผู้อื่นให้รับโทษทางอาญา"
กระทั่งต่อมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับ น.ส.ธณัฏฐา, พ.ต.อ.ภีมพจน์ น้อมชอบพิทักษ์ (สามี) อดีตอาจารย์ (สบ4) กลุ่มงานคณาจารย์ คณะตำรวจศาสตร์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ปฏิบัติราชการที่ ศปก. บช.รร.นรต และนายพงษ์พัฒน์ วรเกต หลานเจ๊หนิง ในข้อหา "ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน เป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้น"
ล่าสุด วันนี้ (3 ม.ค.) เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่า "เมียอดีตบิ๊กตำรวจ" จะเดินทางมายัง สน.พระโขนง เพื่อมาติดตามความคืบหน้าคดีที่แจ้งความร้องทุกข์เอาผิด น.ส.ธณัฏฐา ยอดเยี่ยม หรือ "เจ๊หนิง" คู่กรณีในข้อหาแจ้งความเท็จ
แต่ปรากฏว่าในเวลา 13.25 น. "เมียอดีตบิ๊กตำรวจ" ยังไม่ปรากฎตัว แต่ น.ส.ธณัฏฐา หรือ เจ๊หนิง ได้เดินทางมาที่ สน.พระโขนง ท่ามกลางความไม่คาดคิดของสื่อมวลชน
น.ส.ธณัฏฐา หรือ เจ๊หนิง เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ในวันนี้ที่เดินทางมาเป็นเพราะความบังเอิญ เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้นัดหมายกับพนักงานสอบสวนร้อยเวรเจ้าของคดีที่ตนถูกแจ้งความเรื่องแจ้งความเท็จว่าให้มาสอบปากคำและส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติม
แต่ปรากฏว่าตนทราบว่า "เมียอดีตบิ๊กตำรวจ" จะเดินทางมาในวันเดียวกันพอดี จึงต้องการอยากจะพบเจอ เพราะอยากจะพูดคุยและทวงคืนคีย์การ์ด รวมทั้งทรัพย์สินของตนเองคืน เช่น ทองคำ 120 บาท และเงินสด 600,000 บาท
อีกทั้งอยากจะถาม "เมียอดีตบิ๊กตำรวจ" ต่อหน้าสื่อมวลชน ว่า การที่พนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้อง เป็นเรื่องที่ภรรยาบิ๊กโจ๊กต้องภูมิใจขนาดนั้นหรือ โดยยืนยันกับสื่อมวลชนว่า ไม่ได้เดินทางมาเพื่อจงใจจะสร้างความวุ่นวาย หรือตั้งใจจะมาพบภรรยาของบิ๊กโจ๊กโดยตรงแต่อย่างใด
ทั้งนี้ในส่วนคดีที่ตนแจ้งข้อหาลักทรัพย์นั้น สาเหตุที่พนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้องต่อพนักงานอัยการ เนื่องจากอ้างว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ โดยเฉพาะ GPS ที่ภรรยาอดีตบิ๊กตำรวจที่ไม่ปรากฏ ณ ที่เกิดเหตุ จึงสงสัยการทำงานของพนักงานสอบสวนว่า ภรรยาอดีตบิ๊กตำรวจ ติด GPS ที่ตัวหรือ ถึงทราบได้ว่าไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ
อีกทั้งฝั่งตนเองมีพยานบุคคลจำนวน 3 ปาก เพียงแต่ว่ามีการสอบปากคำไปเพียงแค่พยานปากเดียวคือหลานชายของตนเอง แล้วสรุปสำนวนคดีทันที ซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้น ได้แจ้งความตามมาตรา 157 เพื่อเอาผิดกับพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ไปแล้ว
เจ๊หนิง เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า ยังมีกรณีที่หลานชายของตนถูกคุกคามหลังจากเปิดหน้ากับสื่อฯ โดยถูกแจ้งความข้อหามีประมาทด้วยการโฆษณาที่ สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งตอนแรกได้แจ้งกับพนักงานสอบสวนไว้แล้วว่าจะเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหา แต่ขอเลื่อนวันเวลาเนื่องจากหลานชายป่วย ปรากฏว่า หลานชายของตนถูกออกหมายจับและถูกตำรวจส่วนกลางมาจับกุมไปดำเนินคดี
หลังจากนี้ ตนก็เตรียมที่จะดำเนินคดีกลับไปยังพนักงานสอบสวน สภ.หาดใหญ่ เช่นเดียวกัน โดยยืนยันว่า หลานชายของตนไม่เคยให้สัมภาษณ์พูดชื่อของนายตำรวจที่เป็นสามีของคู่กรณีแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ตนเองถูกโทรศัพท์มาข่มขู่คุกคามวันละ 2-3 สาย โดยมีการคุกคามตั้งแต่ขู่ฆ่า รับรองความไม่ปลอดภัย และใช้คำพูดอนาจารขอมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเบอร์ที่โทรมานั้น ล้วนแต่ไม่ซ้ำเบอร์กันและปลายสายเป็นเสียงผู้ชายที่ไม่ซ้ำคนด้วย รวมทั้งตนยังโดนร้องเรียนเรื่องรถยนต์ส่วนตัวที่ไม่ให้เข้าพื้นที่โรงเรียนต้นสังกัดของสามี แต่ตนเลือกที่จะยังไม่แจ้งความร้องทุกข์ในเรื่องการคุกคาม เพราะตนมีสามีเป็นตำรวจ จึงเข้าใจว่าตำรวจทำงานหนักและงานเยอะอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำไปว่า เป็นเพราะความกังวลว่าจะไม่รับความเป็นธรรมจึงไม่เข้าแจ้งความหรือไม่ เจ๊หนิงบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกัน อีกทั้งสามีของตนยังถูกนายตำรวจมางัดแงะห้องพักในที่ทำงานของสามี ซึ่งตนได้ฝากบอกไปยังนายตำรวจที่งัดแงะห้องตนว่า คุณจะกลัวนายหรือไม่กลัวนาย แต่พอมาวันหนึ่งเรื่องถึงตัวคุณ นายก็จะช่วยคุณไม่ได้ ก็จะตัวใครตัวมัน ซึ่งตอนนี้สามีของตนยังให้โอกาสนายตำรวจคนนี้มารับสารภาพและยังไม่แจ้งความ แต่ถ้ายังไม่ยอมมารับสารภาพ ก็จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน
เจ๊หนิง ยังเปิดใจอีกว่า ตอนนี้สังคมตั้งข้อสังเกตว่า ตนเองกุเรื่องขึ้นมาเพื่ออยากได้เงิน ตนยืนยันว่าตนไม่ได้อยากได้เงิน แม้ว่าตนไม่ได้มีฐานะร่ำรวย แต่ตนก็มีเงินของตนเองและไม่ได้มีนิสัยขี้โกง เชื่อได้ว่าคนทั้งประเทศจะพิสูจน์ได้ว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ
ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อไปว่า เนื่องจากสังคมยังตั้งข้อสงสัยว่าเรื่องการซื้อทองนั้นมีใบรับรอง หรือใบเซอร์จริงหรือไม่ จึงอยากให้ทางเจ๊หนิงแสดงใบรับรองเพื่อยืนยัน แต่เจ๊หนิงกับปฏิเสธ โดยย้ำกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองได้ซื้อทองจริง แต่ไม่สามารถนำใบรับรองมาแสดงได้ เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย ขนาดยังไม่ได้นำใบมาแสดงยืนยัน ตนเองก็ยังถูกข่มขู่
ดังนั้นจึงจะเก็บพยานหลักฐานชิ้นนี้เอาไว้แสดงในชั้นศาล แต่อย่างไรก็ตาม ตนขอให้ ภรรยาอดีตบิ๊กตำรวจ แสดงหลักฐานว่าได้เช่าคอนโดจริงตามที่มีการกล่าวอ้างเอาไว้ต่อหน้าสื่อมวลชน อยากให้ภรรยาของนายตำรวจเปิดหน้าสู้กับตน
สำหรับคดีความที่ตนแจ้งความเอาผิดกับ ภรรยาของบิ๊กตำรวจ มีจำนวนทั้งสิ้น 7 คดี ซึ่งเป็นข้อหาหมิ่นประมาท 6 คดีและคดีลักทรัพย์ 1 คดี ส่วนฝั่ง ภรรยาของบิ๊กตำรวจ ได้แจ้งความตนในข้อหาแจ้งความเท็จและฟ้องตรงต่อศาลอาญาในข้อหาหมิ่นประมาท ซึ่งจะมีการนัดพิจารณาคดีครั้งแรกในวันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้
ทั้งนี้ หลังจากที่เจ๊หนิงได้ขึ้นไปพบพนักงานสอบสวน ผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อไปยัง ภรรยาของบิ๊กตำรวจ แต่ไม่สามารถติดต่อได้
ขณะที่จากการสอบถามตำรวจ สน.พระโขนง ก็ระบุว่า ยังไม่รับรายงานว่า ภรรยาของบิ๊กตำรวจ จะเดินทางเข้ามาเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีแต่อย่างใด ซึ่งในส่วนคดีที่มีการแจ้งความเจ๊หนิงเรื่องแจ้งความเท็จนั้น อยู่ในระหว่างการรวบรวมเอกสาร ก่อนสรุปสำนวนส่งอัยการต่อไป
ต่อมาเวลา 14.30 เจ๊หนิงได้เดินทางกลับออกจาก สน.พระโขนง หลังจากให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนแล้วเสร็จ โดยให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนเพียงแค่ว่า จากการพูดคุยกับทางตำรวจ ไม่พบว่ามีการนัดหมายให้ ภรรยาของบิ๊กตำรวจ มาพบตำรวจแต่อย่างใด