
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หรือ “เชน” อดีตนักร้องชื่อดัง ปัจจุบันเป็นเจ้าของ บริษัทอาหารเสริมอมาโด้ แถลงชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีข้อพิพาทของ บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด พร้อมพาสื่อมวลชนตรวจนับสินค้า ที่ค้างอยู่ในโกดังเก็บสินค้าของ “อมาโด้” ย่านบึงกุ่ม ซึ่งยังมีสินค้าค้างอยู่ในสต๊อกจำนวนกว่า 4,904,202 ซอง โดยก่อนหน้านี้ถูกผู้บริหารบริษัท ไทยยินตันจำกัด ประกอบกิจการนำเข้าสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นมาจำหน่ายในประเทศไทย ออกมาระบุว่าถูก “เชน ธนา” ฉ้อโกง ไม่จ่ายค่าสินค้าเกือบ 79 ล้านบาท ซึ่งค้างชำระมาตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค.2564
โดย “เชน ธนา” พร้อมด้วยฝ่ายกฎหมาย เปิดเผยว่า สาเหตุที่ยังไม่ชำระหนี้ ดังกล่าว มี 3 ปัจจัยนั้น คือ สาเหตุแรกเนื่องจาก การสั่งซื้อสินค้าล็อตที่ 2 เมื่อวันที่ 9 มี.ค.2564 จำนวน 4,500,000 ซอง ซึ่งมีกำหนดต้องได้รับสินค้าในเดือน มิ.ย.2564 แต่เมื่อวันที่ 24 มี.ค.2564 พบว่าสินค้าที่ได้สั่งซื้อไปกับบริษัทคู่กรณีเป็นสินค้าไม่ตรงกับสรรพคุณที่เสนอขายไว้ ทำให้ทางบริษัทของ “เชน ธนา” ไม่สามารถยื่นขอใบอนุญาตจัดทำฉลากและกล่องบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการโฆษณาขายสินค้าออนไลน์และจำหน่ายทุกประเภท
ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง อย. ได้ส่งเอกสารแจ้งมายังบริษัทตนเองว่า กล่องบรรจุภัณฑ์ผิด ตนในฐานะผู้บริหารบริษัท จึงจำเป็นต้องเรียกสินค้าเก่าที่ จำหน่ายไปแล้วทั่วประเทศกลับมา ซึ่งสินค้าจำหน่ายไปแล้วเป็นสินค้าล็อตแรกที่สั่งจากบริษัทคู่กรณี เพื่อทำการแก้ไขกล่อง แต่จนถึงขณะนี้ อย.ก็ยังไม่อนุญาตเนื่องจากผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ไม่ได้คุณภาพตามที่บริษัทเสนอขาย จึงทำให้เกิดความล่าช้าของการจำหน่ายสินค้าออกไปอีก
ที่ผ่านมา บริษัทของตนเองและบริษัทคู่กรณีได้มีการพูดคุยเจรจากันมาโดยตลอด จนกระทั่งบริษัทคู่กรณีตัดสินใจยื่นคำร้องขออนุญาต อย. เรื่องการโฆษณาและฉลากผลิตภัณฑ์ให้ แต่ก็ไม่สำเร็จอีกเช่นกัน ทำให้บริษัทของตนเองไม่สามารถโฆษณาและจำหน่ายสินค้าได้ จึงยังไม่มีเงินไปชำระค่าสินค้าดังกล่าว
อีกทั้งตนเองมองว่าสินค้าไม่ตรงตามที่โฆษณาเสนอขายไว้ เมื่อตกลงกันไม่ได้ ตนจึงตัดสินใจยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ขอให้ศาลเป็นผู้พิจารณาว่าคู่กรณีผิดสัญญาซื้อขาย และขอยกเลิกสัญญา พร้อมขอให้คู่กรณีนำสินค้าคืนทั้งหมด
คู่กรณี ยื่นคำร้องโต้แย้งขอให้ศาลมีคำสั่งให้บริษัทของตนชำระหนี้ ซึ่งศาลพิพากษาให้คู่กรณีชนะ ตนจึงได้ทำการยื่นอุทธรณ์ต่อ ขอให้ศาลพิจารณาว่าคู่กรณีโฆษณาสินค้าเกินจริงใช่หรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ซึ่งหากศาลอุธรณ์ พิพากษาว่าตนแพ้คดี ก็พร้อมยอมรับและชำระหนี้ แต่หากคู่กรณีแพ้ก็ต้องรับคืนสินค้าทั้งหมดไป
อย่างไรก็ตาม สินค้ากว่า 4,904,202 ซอง ยังคงอยู่ในคลังสินค้าของบริษัทไม่มีการจำหน่ายออกไปแม้แต่ซองเดียว ซึ่งก่อนหน้านี้ตำรวจกองปราบปราม รวมถึงบริษัทคู่กรณีได้เข้ามาทำการตรวจสอบแล้ว
สำหรับการแถลงข่าวในวันนี้ ตนแค่ต้องการออกมาชี้แจงต่อสังคม เพราะข่าวที่ออกไปทำให้บริษัทได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงอยากใช้โอกาสนี้แถลงยืนยันว่า ไม่มีเจตนาฉ้อโกง สินค้าที่สั่งซื้อมาทั้งหมดยังอยู่ครบ รอคำสั่งศาลอุธรณ์ พร้อมระบุว่าในช่วงที่ยังอยู่ระหว่างรอการพิจารณาของศาลบริษัทของตนเองก็ได้รับความเสียหาย เพราะสินค้าที่อยู่ในคลังเริ่มทยอยหมดอายุ ทั้งที่ยังไม่ได้จำหน่ายออกไป
อีกทั้งการโฆษณาสินค้าดังกล่าวในสื่อต่างๆ ที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้ก็ได้ดำเนินการไปล่วงหน้าแล้ว บริษัทจึงเสียหายจากการที่ไม่สามารถจำหน่ายสินค้าดังกล่าวได้มิใช่น้อย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คดียังไม่สิ้นสุด แต่ที่ทางคู่กรณีออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าวต่อสื่อมวลชน จะดำเนินการฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ “เชน ธนา” ระบุว่า ตอนนี้ตนไม่มีสมองไปคิดเรื่องนั้นเลย ทุกวันนี้วิ่งเคลียร์ปัญหาภายในบริษัท มากกว่า เพื่อให้ผ่านวิกฤตินี้ไปได้ ซึ่งต้องขอบคุณคู่ค้าและกลุ่มลูกค้า ที่ยังเชื่อมั่นในตัวเองและบริษัทอยู่ จึงอยากใช้โอกาสนี้ร้องขอความเป็นธรรมจากสังคมให้มั่นใจว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องระหว่างบริษัทกับบริษัท ไม่ใช่เรื่องของบริษัทกับสังคม ที่สำคัญตนไม่ได้ฉ้อโกง
ส่วนกรณีที่คู่กรณีไปยื่นฟ้องในคดีอาญานั้น ครั้งแรกตนทราบมาว่าคู่กรณีไปแจ้งความกับตำรวจกองปราบปราม ซึ่งตำรวจกองปราบปรามมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเพราะเห็นว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่ง ต่อมาอัยการกลับสั่งฟ้องซึ่งตนไม่ทราบเหตุผลในเรื่องดังกล่าวแต่ได้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหามาแล้วในวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งตนก็มีหน้าที่จะต้องดำเนินการต่อสู้คดีต่อไป
ทั้งนี้ ในระหว่างการสอบสวนคดีอาญาดังกล่าวเจ้าหน้าที่ได้ออกหมายเรียกพยานไปยังคู่ค้ารายอื่น เพื่อสอบปากคำตนมีพฤติการณ์ฉ้อโกงหรือไม่ ซึ่งคู่ค้ารายอื่นก็ยังยืนยันว่า “ไม่พบพฤติการณ์ดังกล่าว”