11 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวโทรสัมภาษณ์ นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ "ทนายตั้ม" นายษิทรา เบี้ยบังเกิด บอกว่า วันนี้จะเข้าเยี่ยมทนายตั้ม ในช่วงบ่าย เนื่องจากช่วงเช้าตนเองติดภารกิจคดีอื่น และการเข้าเยี่ยม ตนเองจะเข้าไปคุยเรื่องความเป็นอยู่ ว่า ขาดเหลืออะไรหรือไม่ ต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ รวมถึงจะฝากเงินเข้าบัญชีให้ไว้ใช้จ่าย และจะยังไม่แจ้งเรื่องอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ
รวมถึงภรรยาของทนายตั้มเช่นกัน ก็จะเข้าเยี่ยมถามความเป็นอยู่และความต้องการต่างๆ และพูดให้กำลังใจว่ากำลังหาทางประกันตัวให้อยู่ แต่คงไม่ได้คุยเรื่องการสู้คดีกับภรรยาของทนายตั้ม เพราะคงไม่ได้ทราบรายละเอียดอะไร
ส่วนแนวทางการต่อสู้คดี ตอนนี้คงยังไม่ได้คุย จะรอให้ผ่านพ้น 5 วันแรกของการอยู่แดนกักโรคไปก่อนเพราะเป็นการเยี่ยมผ่านคอนเฟอเรนซ์ไม่ได้พูดคุยส่วนตัว ดังนั้นคงคุยแค่ความเป็นอยู่ทั่วไปก่อน พอพ้นการกักโรค แล้วสามารถนั่งตรงข้ามกันได้ค่อยคุยถึงแนวทางการต่อสู้คดี ทั้งนี้ญาติๆก็มีการฝากความเป็นห่วงมาเยี่ยมด้วย แต่คงไม่สามารถบอกรายละเอียดได้
เมื่อถามว่าหากพ้นกักโรคแล้วแยกแดน ทนายตั้ม กังวลมั้ยว่าจะเจอคู่กรณีในเรือนจำ ทนายสายหยุด บอกว่า คงไม่มีโจทย์แน่นอน เรือนจำเขามีวิธีป้องกันอยู่แล้ว เป็นเรือนจำรุ่นใหม่ มีการแยกแดน มีผู้คุมดูแล ตนเองเข้าไปเยี่ยมลูกความคนอื่นก็ไม่มีทะเลาะอะไรกัน
ส่วนประเด็นที่ทนายจะหาพยานคนกลางที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ 3ประเด็นมาให้สอบเพิ่มนั้น ทางกองปราบมองว่าอาจจะเป็นการประวิงเวลา ทนายสายหยุดบอกว่า มันมีกรอบเวลากฎหมายอยู่แล้ว พนักงานสอบสวนก็ต้องทำให้ครบ 6 ฝาก 72 วัน ที่จะต้องส่งสำนวน และนี่เพิ่งจะฝากแรกเอง และพนักงานสอบสวนก็บอกเองว่าเหลือสอบพยานฝั่งผู้กล่าวหาอีกหลายปาก ตนเองจึงมองว่าไม่ได้เป็นการประวิงเวลา
ส่วนจะหาผู้เชี่ยวชาญไปเองหรือไม่นั้น ทนายสายหยุดบอกว่า จะมี2แบบ คือต้องดูว่า หน่วยงานไหนที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาของทนายตั้ม และไปสอบถามว่า สะดวกจะมาให้การหรือไม่ ถ้าเป็นหน่วยงานราชการก็ต้องให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกมา
เพราะจะได้ให้หน่วยงานราชการเดินทางมาได้โดยไม่ขาดราชการ และการจะเป็นพยานหากไปบังคับจู่โจมเอามาเลย ก็ไม่ถูกต้องและพยานอาจจะให้การไม่เป็นประโยชน์ แต่หากส่วนไหนประสานมาเองได้ก็จะประสานมาให้การเพื่อมาให้ความรู้และเป็นประโยชน์ ซึ่งพยานทุกคนจะต้องสมัครใจที่จะให้ข้อมูลด้วย