
16 กรกฎาคม 2567 ความคืบหน้าคดีที่ "นายศรีสุวรรณ จรรยา" ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวถึงบ้านพัก หลังร่วมกับพวกเรียกรับเงินจากอธิบดีกรมการข้าว จำนวน 1.5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนกรณีทุจริต กระทั่งผลการสืบสวนขยายวงไปถึงผู้เกี่ยวข้องหลายราย โดยเฉพาะคนในแวดวงการเมือง
ล่าสุด ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม (รองผบก.ป.) เปิดเผยว่า คณะพนักงานสอบสวน บช.ก. ที่ 45/2567 ลงวันที่ 31 มกราคม 2567 เรื่องคดีทุจริตระหว่าง นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ผู้กล่าวหา กับกลุ่มผูัต้องหารวม 5 คน เกี่ยวกับกรณีเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมีการเรียกรับทรัพย์สิน รวมทั้งผลประโยชน์อื่น ๆ ได้สรุปสำนวนการสอบสวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รายละเอียดประกอบไปด้วย สำนวนการสอบสวน พร้อมพยานหลักฐานรวม 11 แฟ้ม จำนวน 4,490 แผ่น โดยในวันนี้ (16 ก.ค.) ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.ภูริต ศรีบุญเรือง สารวัตร (สอบสวน) กองกำกับการ 1 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พงส.กก.1 บก.ปปป.) ในฐานะเจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวน และผู้ช่วยเลขานุการ ตามคำสั่ง บช.ก. นำสำนวนทั้งหมดไปเสนอต่อ อธิบดีอัยการ สำนักงานดดีปราบปรามการทุจริต เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ นายนัฏฐกิตติ์ ได้กล่าวหา นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก กับพวก รวม 5 คน ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2567 ระบุว่า วันที่ 20 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 26 มกราคม 2567 ต่อเนื่องกัน ได้ถูกกลุ่มผู้ต้องหาเรียกเอาทรัพย์สินโดยทุจริตต่อหน้าที่ เหตุเกิดที่ รัฐสภา เขตตุสิต, กรมการข้าว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ และที่ ตำบลลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดยทรัพย์ที่ถูกประทุษร้าย เป็นเงินจำนวน 1.5 ล้านบาท
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. นำโดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. ได้จับกุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้ และได้นำตัวกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 5 คน มาสอบสวน และแจ้งข้อที่ บก.ปปป. ตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. จนถึง 15 ก.พ.ที่ผ่านมาต่อเนื่องกัน
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 5 คนนั้นประกอบด้วย นายยศวริศ ชูกล่อม อายุ ๖๕ ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ถูกดำเนินคดีรวม 6 ข้อหา ประกอบด้วย 1.เป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด มาตรา 172, 2.เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการ หรือไม่กระทำการอย่างใดโดยมิชอบด้วยหน้าที่ มาตรา 173,
3. ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทน โดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายอันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดมาตรา 175, 4.ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ มาตรา 337,
5. ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตน หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย มาตรา 338 (ร่วมกันรีดเอาทรัพย์) และ มาตรา 337
6.ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตราย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป มาตรา 309 วรรคสอง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 173 , 175 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337, 338, 309 วรรคสอง, ประกอบมาตรา 83, 86
ส่วน นายศรีสุวรรณ จรรยา อายุ 55 ปี ผู้ต้องหาที่ 2, นางสาวพิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาที่ 3, นายเอกลักษณ์ วารีชล อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาที่ 4 และ นางสาวณพัชญ์ปภา จรรยา อายุ 43 ปี ผู้ต้องหาที่ 5 ถูกดำเนินคดีเหมือนกันรวม 6 ข้อหา ประกอบด้วย 1. ร่วมกันสนับสนุน เจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่ง หรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจ ในตำแหน่งโดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มาตรา 172,
2. ร่วมกันสนับสนุน เจ้าพนักงานของรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่มาตรา 173, 3. ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน โดยวิธีอันทุจริต มาตรา 175,
4. ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ และชื่อเสียง มาตรา 337, 5. ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมหรือยอมให้ตนได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าเปิดเผยความลับ มาตรา 338 และ 6. ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป มาตรา 309 วรรคสอง
อัยการนัดฟังคำสั่งคดี "พี่ศรีและพวก" ตบทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว 25 ก.ค.นี้
นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า วันนี้พนักงานสอบสวน บก.ปปป. ได้นำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งห้า มาส่งมอบให้อัยการ โดยเมื่อได้รับสำนวน นายสุรพันธ์ กิจพ่อค้า อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต ได้มีคำสั่งนายรชต พนมวัน อัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 เป็นผู้พิจารณาสำนวน
สำหรับคดีนี้ผู้ต้องหาทุกคน ได้รับการปล่อยชั่วคราวในชั้นสอบสวน ซึ่งพออัยการรับสำนวนไว้ ก็อนุญาตให้ประกันตัวต่อ เเต่การปล่อยชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 113 ระยะเวลาที่พนักงานสอบสวนอนุญาตให้ประกัน จะต้องไม่เกิน 6 เดือน นับตั้งเเต่วันถูกจับ ซึ่งจะครบวันที่ 26 ก.ค.นี้ ถ้าอัยการยังไม่มีคำสั่ง หรือสั่งไม่การจะปล่อยชั่วคราวต่อไป จะต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริตฯ หรือไม่เช่นนั้นจะต้องนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ไปยื่นคำร้องฝากขังต่อศาล
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริตฯ จึงได้นัดฟังคำสั่งผู้ต้องหาในวันที่ 25 ก.ค.นี้ ซึ่งในวันดังกล่าว อาจจะมีคำสั่งทางคดีได้ทันหรือไม่ก็ได้เ เต่ก็จะมีเรื่องพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องการให้ประกันตัวว่า อธิบดีอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริต จะอนุญาตให้ประกันต่อหรือต้องนำตัวผู้ต้องหาไปยื่นคำร้องฝากขังต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ