9 กรกฎาคม 2567 ตำรวจนครบาล โดยชุดสืบนครบาล บก.สส.บช.น. เปิดเผยการจับกุม นายนาวา หงษ์สกุล หรือ “ไดรเวอร์ติ๊ก” อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลข้อหา ลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุมหรือรับของโจร โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
การจับกุมสืบเนื่องจาก เมื่อปลายปี 2565 นายนาวา ได้สมัครงานเข้ามาเป็นพนักงานขับรถ ให้กับ CEO หนุ่มสื่อโฆษณาชื่อดัง ซึ่งแรกเริ่มเป็นเพียงคนขับรถธรรมดา ไม่ได้มีสิทธิพิเศษในการเข้านอกออกในคฤหาสน์หรูย่านอุดมสุขของ CEO หนุ่มรายนี้ได้
แต่ด้วยด้วยทักษะความสามารถพิเศษ “หวานเจี๊ยบ” ใช้เวลาเพียงปีเศษ นายนาวา ก็สร้างความไว้ใจจากคนในบ้าน จนสามารถเข้านอกออกในคฤหาสน์หลังนี้ ได้ทุกพื้นที่ภายในบ้าน จนพบเข้ากับสมบัติล้ำค่าคือ “พระบรมฉายาลักษณ์” พร้อมลายพระปรมาภิไธยโบราณ อายุ 120 ปี จำนวน 4 ภาพ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดของ “ตระกูลดัง” ตระกูลนี้ ถูกเก็บเอาไว้อย่างดี ภายในคฤหาสน์หรู
กระทั่งเมื่อวันที่ 4 พ.ค.67 เวลาประมาณ 14.00 น. จู่ ๆ ก็เกิดเหตุเพลิงไหม้ในคฤหาสน์ อย่างไม่ทราบสาเหตุ ต้นเพลิงมาจากห้องควบคุมไฟฟ้า ทำให้ระบบไฟฟ้าและกล้องวงจรปิดไม่ทำงาน ผู้คนภายในบ้านต่างพากันวิ่งหนีเอาชีวิตรอด โดยนายนาวาได้เข้าประกบเจ้านาย ทำทีห่วงใย ก่อนจะพาออกจากคฤหาสน์จนหมด ก่อนอาศัยช่วงอลหม่าน ตรงดิ่งไปฉกเอาสมบัติล้ำค่าจำนวน 4 ภาพ ยกขึ้นรถตรงไปยังตลาดมืดทันที ก่อนกลับมาทำงานตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังเพลิงสงบลง CEO หนุ่ม ได้ตรวจสอบทรัพย์สินในคฤหาสน์ก็พบว่า สมบัติอันล้ำค่าหายไป จึงรีบเข้าแจ้งความที่ สน.บางนา ทีแรกเริ่มเหมือนจะจับมือใครดมไม่ได้ คดีมีท่าทีจะจบลงแบบ “ไม่รู้ตัว” กระทั่ง พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. สั่งชุดสืบสวนตรวจสอบจนพบเบาะแสจากตลาดมืดว่า มีพ่อค้าของสะสมในพื้นที่ จ.ชลบุรี , นครปฐม และนนทบุรี รับซื้อของล้ำค่าดังกล่าวไว้ ในราคาทั้งหมด 100,000 บาท ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวน สน.บางนา จึงออกหมายจับคนร้ายรายนี้ได้ในที่สุด
โดยวานนี้ (8 ก.ค.) พล.ต.ต.ธีรเดช นำกำลังชุดสืบนครบาล บุกไปจับกุมตัว "นายนาวา" ที่กลางถนนปทุมวัน ซึ่งในขณะจับกุมคนร้ายยังคงทำงานเป็นคนขับรถให้ CEO หนุ่มอยู่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สร้างความตกใจกับ CEO หนุ่มเป็นอย่างยิ่ง
หลังจับกุม ตำรวจได้นำตัว นายนาวา ส่งพนักงานสอบสวน สน.บางนา เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมาย ซึ่งในชั้นจับกุม ผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้ลักทรัพย์ของผู้เสียหายไปจริง โดยนำไปจำหน่ายยังร้านค้า ผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้ง 4 รูป มูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท ทั้งที่ทรัพย์ดังกล่าว ไม่สามารถประเมินราคาได้ เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่หายาก และมีมูลค่าแก่ทางจิตใจของครอบครัว และตระกูลของผู้เสียหายเป็นอย่างมาก
จากการตรวจสอบพบประวัติ ยังพบว่า นายนาวา เคยต้องโทษคดีอาญาจำนวนสองคดีคือ “ข้อหาเป็นเจ้ามือ หรือ จีดให้มีการเล่นพนัน” สภ.สำโรงเหนือ เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 58 และ “ข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนด ห้ามออกจากเคหสถานในเวลาที่กำหนด, ข้อหาขับรถในขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น”สภ.สำโรงเหนือ 18 ก.ย. 64
คลิปนาทีขณะชุดสืบนครบาลเข้าจับกุม "ติ๊ก นาวา"
ผู้การจ๋อสั่งเร่งขยายผล "ติ๊ก นาวา" ขโมยพระบรมฉายาลักษณ์ ขายตลาดมืด
พล.ต.ต.ธีรเดช เผยว่า เบื้องต้นนายติ๊ก ให้การว่า ขายทรัพย์สินที่เป็นภาพถ่ายทั้ง 4 ภาพไปในราคารวม 100,000 บาท ตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยว่า มีการวางแผนมาก่อนหรือไม่ เพราะเจ้าตัวอ้างว่า ไม่ได้วางแผนไว้ แต่จังหวะที่ไฟไหม้ เหมือนจังหวะพอดีกัน เพราะการที่บ้านเกิดเพลิงไห้สิ่งสำคัญ อย่างแรกคือต้องดูแลชีวิตทรัพย์ แต่การที่คนร้ายอาศัยจังหวะมาซ้ำเติม ไปนำเอาทรัพย์สินที่มีมูลค่า 120 ปี มีมูลค่าทางจิตใจไป
ส่วนจะมีออเดอร์สั่งสินค้ามาหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และขยายผลว่าจะมีผู้ร่วมขบวนการหรือไม่ เพราะเชื่อว่าการก่อเหตุในครั้งนี้ ไม่สามารถดำเนินการก่อเหตุได้เพียงลำพัง อาจมีนายทุนหรือกลุ่มคนที่มีเงินทองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ และมีคนเพียงไม่กี่กลุ่มที่สามารถมีกำลังทรัพย์ในการซื้อหาได้ แต่จากคำให้การตอนนี้ ยังมีคนเดียวอยู่ ถ้าของกลางอยู่กับใคร แล้วได้มาโดยทุจริต ก็จะต้องโดนข้อหารับของโจร และขณะนี้สามารถติดตามรูปภาพกลับคืนมาได้ทั้งหมดแล้ว
ทั้งนี้ พฤติการณ์ในการก่อเหตุของนายติ๊ก ที่คล้ายกับจอมโจรลูแปงนั้น พล.ต.ต.ธีรเดช มองว่า ลูแปงเป็นตัวละครในภาพยนตร์ ที่มีพฤติกรรมการกระทำความผิดคล้ายกับ นายติ๊ก คือ จะล็อกเป้าหมาย และก่อเหตุ เพราะการลักทรัพย์ครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ เป็นการลักทรัพย์ตอนเกิดเพลิงไหม้ และช่วงเกิดเหตุเพลิงไหม้คือ เดือน พ.ค. และหลังเกิดเหตุ นายติ๊ก ก็ยังไปทำงานตามปกติ ตั้งแต่เดือน พ.ค. -เดือน ก.ค. โดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งก็คาดว่า น่าจะมีการวางแผนมาอย่างเป็นระบบ แต่คนร้ายย่อมทิ้งร่องรอยไว้เสมอ และที่ผ่านมาเจ้านายของนายติ๊ก ดูแลเขามาอย่างดี ไว้ใจเขามาก เพราะสามารถเดินเข้าออกพื้นที่ของบ้าน ในพื้นที่ที่รักษาความปลอดภัยได้ ซึ่งก่อนหน้านี้บ้านหลังดังกล่าว ไม่เคยมีเหตุการณ์ทรัพย์สินหายมาก่อน
"ติ๊ก นาวา" สะอื้นไห้ ขอโทษเจ้าของบ้าน อ้างเป็นหนี้รอบด้าน
ขณะที่ภายหลังสอบปากคำเสร็จสิ้น ชุดสืบสวนนครบาล ได้คุมตัว นายติ๊ก ไปส่ง สน.บางนา ซึ่งทันทีที่นายติ๊กเจอนักข่าว ได้สะอื้นไห้ พร้อมยกมือไหว้และพูดว่า ผมเดินทางผิด
เมื่อถามว่า มีใครสั่งให้ขอโมยของหรือหม่ เจ้าตัวอ้างว่า ไม่มีใครสั่งให้ขโมย แต่ยอมรับว่า ไปกู้เงินมาจากแก๊งวัดด่าน ที่เคยถูกจับกุมในคดียิงฟอร์จูนเนอร์จริง เพราะเป็นหนี้รอบด้าน ยิบย่อยทั่วไป เลยหาทางออกในทางที่ผิด ตนเองสำนึกผิดแล้ว
เมื่อถามย้ำว่า เจ้านายเขาไว้ใจเราขนาดนั้นทำไมถึงกล้าขโมย นายติ๊กตอบย้ำอีกว่า สำนึกผิดแล้ว และไม่ได้นัดแนะกับใครมาก่อน ไม่รู้ว่ารูปมีมูลค่าที่สามารถขายได้ แต่จำไม่ได้ว่าเอาไปขายในราคาเท่าไร พร้อมยกมือไหว้ ขอโทษกับเจ้านาย และปฏิเสธอ้างว่า ไม่ได้ตั้งใจเข้าไปทำงานเพื่อขโมยของ และไม่ได้ตั้งใจกลับไปเอารูปตอนไฟไหม้ สิ่งที่ทำไม่มีใครช่วย ทำเพียงคนเดียว
มีรายงานว่าในส่วนของผู้เสียหายในคดีนี้คือ นายกฤษณะ ถนอมทรัพย์ แห่งบริษัท บีลิงค์ มีเดีย จำกัด