26 มีนาคม 2567 เมื่อเวลา 11.00 น. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" แถลงข่าวเปิดโปงขบวนการส่วยตัวท็อปแบบม้วนเดียวจบ โยงตัวละคร 3 คน คือ ดาบยาว รองฟาง และ บิ๊กต่อ และพาดพิงไปถึง 3 หน่วยงาน คือ คอมมานโด ปคม. และ ตำรวจไซเบอร์ ที่มีผลประโยชน์มหาศาล เว็บพนันมีเป็นหมื่นเว็บ แต่จับได้เพียงเล็กน้อย
ทนายตั้ม อ้างว่า 3 หน่วยงานข้างต้น มีการเก็บยอดตั๋ว (เก็บส่วย) จากธุรกิจสีเทา 18 อย่าง ดังนี้
โดยมีทีมเก็บส่วยซึ่งแบ่งเป็นภาคๆ คือ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคใต้ และทีมภาคตะวันออก (ตำรวจภาค 2 นครบาล 1,4, ปทุมธานี) ซึ่งทำรายได้มากที่สุด โดยหัวหน้าชุดทุกทีมเป็นตำรวจชั้นประทวน ยศดาบ จ่า
สำหรับส่วยที่เก็บมาได้ หลักร้อยล้านบาทต่อเดือน จะส่งยอดให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงทุกวันที่ 25 ของเดือน โดยไปส่งยอดกันที่ตึก บช.สอท. ที่โต๊ะของรองฟาง
จากนั้นทนายตั้ม ได้กางชาร์จเส้นทางการเงิน บัญชีม้าของ "รองฟาง" ซึ่งถือบัญชีม้าชื่อว่า "คชาชาญ" รวมไปถึง "ดาบยาว" ซึ่งถือบัญชีม้าชื่อว่า "ณัฐพงศ์" และยังมีบัญชีม้าอีก 2 อัน ที่เจ้าของบัญชีเสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังมีคนสามารถทำธุรกรรมได้
ทนายตั้ม ยังเปิดแชทการโอนเงินเข้าบัญชีม้า ที่หัวหน้าชุดถือ โอนให้กับดาบยาว ส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ และมีการตั้งข้อสังเกตยอดเงินที่โอนในเดือนตุลาคม 2565 จำนวน 8 แสนบาท ที่มีใครบางคนไม่รู้ทำสนามยิงปืน จึงต้องการใช้เงินจำนวนมาก จากปกติที่ต้องโอนยอดปลายเดือน ต้องเปลี่ยนมาโอนช่วงต้นเดือนแทน
นอกจากนี้ยังเปิดหลักฐานกล้องวงจรปิดภายในปั๊มน้ำมัน วันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 มีรถฟอร์จูเนอร์สีดำ ผู้ครอบครองรถเป็นชื่อบิดาของรองฟาง ขับเข้ามาในปั๊ม จากนั้นมีชายไปกดเงิน กล้องอีกมุมเห็นดาบยาว เดินวนเวียนอยู่ไม่ห่าง คล้ายกับคุมบัญชีม้าเข้าไปกดเงิน
ถามว่าที่พูดมาทั้งหมดเกี่ยวอะไรกับ "บิ๊กต่อ"? ทนายตั้ม บอกว่า เรื่องนี้เริ่มจากเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2566 ตำรวจมีการจับเว็บกุมพนัน bnk master มี และ venus master และมีตัวละครสำคัญอย่าง "พิมพ์วิไล" ถูกดำเนินคดี
จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า พิมพ์วิไล โอนเงินให้บัญชีม้าชื่อ "คชาชาญ" ซึ่งเป็นบัญชีที่ "รองฟาง" ถืออยู่ จากนั้นเส้นเงินจากบัญชีม้า ได้ถูกโอนไปที่ตำรวจ 5 คน และ โอนให้บัญชีของ "ณัฐพงศ์" ซึ่งเป็นบัญชีม้า ที่ดาบยาวถืออยู่
จากเส้นเงินของณัฐพงศ์ บัญชีม้าที่ดาบยาว ถืออยู่ ถูกโอนไปที่ ลูกสาว เมีย และคนสนิทของดาบยาว ไม่เพียงเท่านั้น บัญชีม้านี้ ยังโอนเงินไปให้อีก 3 คน ที่นามสกุลเดียวกับ "บิ๊กต่อ" รวมไปถึงผู้สื่อข่าว สมาคมนักข่าวฯ และตำรวจอีก 3 นาย
นอกจากนี้ บัญชีม้า "คชาชาญ" ยังโอนไปทำบุญสร้างวิหารวัดนครอินทร์ 7 แสนบาท โดยทนายตั้ม ได้เปิดภาพประธานในพิธี คือ ผบ.ตร. และตั้งคำถามว่า ทำไมบัญชีม้าเว็บพนันจึงโอนไปทำบุญกฐินได้
ทนายตั้ม ตั้งข้อสงสัยว่า เส้นเงินจากบัญชีม้า ที่รับโอนจากเว็บพนันถูกโอนต่อไปให้ครอบครัว "ผบ.ตร." แบบนี้ ผบ.ตร. ต้องถูกดำเนินคดีด้วยหรือไม่ และมองว่าถือเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่
จากนั้นทนายตั้ม ได้โทรศัพท์ไปหา พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. หรือ "บิ๊กเต่า" จะนำหลักฐานไปแจ้งความที่ บช.ก. ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเส้นเงินทั้งหมด โดยมีการนัดหมายกันในวันที่ 28 มีนาคม 2567 เวลา 11.00 น.
ทนายตั้ม กล่าวว่า ที่ออกมาแฉครั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ "บิ๊กโจ๊ก" ไม่ได้อยู่เบื้องหลัง ยอมรับว่าก่อนแถลงข่าวบิ๊กโจ๊กโทรมาบอกว่าอย่าเปิด เพราะถ้าเปิดเขาจะไม่ได้กลับ สตช. ถ้าคนมองลึกลงไป ตนเปิดข้อมูลไปเขาจะเอาอะไรไปต่อรอง แล้วแต่คนจะคิดจะเชื่อแบบไหน ไม่มีใครว่าจ้างให้ทำงานเสี่ยงแบบนี้ มันต้องใจรัก
ส่วนข้อมูลที่นำมาเปิดตนได้จากตำรวจ และสายลับ พฤติกรรมทีมเก็บส่วยชุดนี้ที่เขาทนไม่ได้ คือ คนเมียนมาขายของ 20 บาท เขาช่วยซื้อเพื่อเช็กว่าเป็นคนไทย หรือต่างด้าว พอรู้ว่าเป็นต่างด้าวก็ตามไปเก็บเดือนละ 500 บาท เอาทุกบาททุกสตางค์ เพราะเขาต้องทำยอด แต่ตนเชื่อว่าไม่มีใครบังคับให้ทำ เพราะเขาได้ประโยชน์ด้วย
ถามว่าการออกมาเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้สังคมจะได้อะไร? ทนายตั้ม ตอบว่า วันนี้สังคมได้เห็นว่ามีการรับส่วยกันเป็นขบวนการ มีเส้นเงินไปถึงใครยังไงบ้าง ตนคิดว่าประชาชนน่าจะตาสว่าง และได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย
"วันนี้ออกมาผมยอมเจ็บ ปรึกษากับครอบครัวแล้ว ภรรยาเขาเสียสละ หากทำให้สังคมดีขึ้น ถ้าครอบครัวต้องลำบากหรืออะไรก็เอาเลย ทำให้เต็มที่ แล้วแต่ผมเลย ผมถึงได้ออกมาพูดกับประชาชนแบบนี้ ไม่ได้มาเอาแสง เอาซีนอะไรหรอก เดี๋ยวเขาก็มาขุดแผลผมอีก ผมก็ยอมรับว่าเป็นคนมีแผล โดนทุกรอบ รอบนี้ไหนๆ จะโดนแล้วก็ขอให้เกิดประโยชน์กับสังคม" ทนายตั้ม กล่าว
หลังการแถลงข่าว ทนายตั้มได้เปิดใจผ่านเพจอีกครั้งว่า ผมรู้สึกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมหลงแสงสีและชื่อเสียง จนหลงลืมว่า ผมเกิดมาจากการเป็นทนายประชาชน ผมเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าราคาแพง ใช้ของราคาสูง เพราะรู้สึกว่ามันก็แค่เรื่องของรสนิยม จนทำให้หลายคนรู้สึกต่อต้านและเกิดคำถามมากมาย
วันนี้ผมคิดได้แล้วครับ และจะกลับมาเป็นไอ้ตั้มคนเดิม ใส่เสื้อยืดทนายประชาชนตัวเดิม ด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบบ้ายี่ห้อจนหลงลืม ปากท้องและชาวบ้าน วันนี้ผมเลยเลือกที่จะเปิดโปงส่วยตำรวจ ที่มีความเสี่ยงกับชีวิตตนเองและครอบครัว เพื่อพิสูจน์ว่าผมเปลี่ยนไป และผมไม่ใช่เด็กใคร ไม่ต้องเชื่อผมวันนี้ แต่ดูกันไปนานๆ ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังและเสียความรู้สึกนะครับ
สมาคมฯ สื่อ ออกแถลงการณ์ ไม่ใช่องค์กรที่ถูกอ้างถึง จี้ "ทนายตั้ม" เคลียร์ให้ชัด ใครรับเงินเว็บพนัน
ต่อมา "สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย" ออกแถลงการณ์ว่า ทางสมาคมฯ ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพสื่อสารมวลชน ไม่นิ่งนอนใจ ได้เร่งตรวจสอบข้อมูลกับ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด อย่างเร่งด่วนภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น
โดยได้รับการยืนยันจากทีมงานนายษิทรา ว่าข้อมูลที่นำมาแถลงไม่ได้เกี่ยวข้องกับ "สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย" แต่อย่างใด องค์กรที่ถูกอ้างถึงคือ "สมาคมนักข่าว นสพ. แห่งประเทศไทย"
ทั้งนี้ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ตรวจสอบเบื้องต้นในระบบการจดทะเบียนของสื่อมวลชน ไม่พบชื่อองค์กรที่ทีมงานนายษิทรา กล่าวอ้างแต่อย่างใด จึงขอเรียกร้องให้นายษิทรา ออกมาระบุยืนยันให้ชัดว่า เป็นสมาคมใดกันแน่
เพราะถ้าแถลงด้วยข้อมูลคลุมเครือเช่นนี้จะสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน ทำให้สมาคมนักข่าวนักหนังสืvพิมพ์แห่งประเทศไทยเสียหาย ทั้งที่สมาคมฯ ได้ออกแถลงการณ์ไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยยืนยันไม่เคยได้รับการบริจาค หรือสนับสนุนเงินจากองค์กรหรือบุคคลที่มีการกล่าวอ้างในการแถลงข่าวของทีมทนายความแต่อย่างใด
ไม่เช่นนั้น ทางสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จะปกป้องเกียรติยศและชื่อเสียงของสมาคมที่ได้ก่อตั้งมายาวนานถึง 69 ปี ด้วยการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอยึดมั่นในหลักจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อมวลชน อย่างเคร่งครัด พร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายในการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมต่อไป