svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

ภารกิจท้าทาย "บิ๊กหลวง" ปราบยาเสพติด เน้นบำบัดคืนสังคม

นโยบายปราบปรามยาเสพติด โดยมุ่งเน้นตัดวงจรผู้ค้ายาเสพติด และบำบัดผู้เสพ ให้กลับคืนสังคมสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ถือเป็นงานสำคัญที่ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ส. วางเป็นเป้าหมายหลักที่ต้องดำเนินการ

ถือเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ส. ที่รัฐบาลกำหนดให้การปราบยาเสพติดเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญ มุ่งเน้นนำผู้ใช้ยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัด สร้างความพร้อมให้ชุมชน รวมถึงเดินหน้านโยบายโครงการ “1 โรงพัก 1 ตำบล” ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติดระดับชุมชน

 

ภารกิจท้าทาย "บิ๊กหลวง" ปราบยาเสพติด เน้นบำบัดคืนสังคม

 

วางนโยบายภายในหนึ่งปีแก้ปัญหายาเสพติด

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ได้มองถึงเป้าหมายแกัปัญหายาเสพติดว่า ต้องดูว่าสถานการณ์ยาบ้าในขณะนี้อยู่ในทิศทางใดย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ยาบ้าเริ่มมีผลกระทบกับวิถีชีวิตคนไทยตั้งแต่ปี 2546เปรียบเทียบจำนวนประชากรในปีนั้น มีจำนวน 63 ล้านคน ในขณะที่ปี 2566 ประเทศไทยมีประชากร 66 ล้านคน มีอัตราการเพิ่ม 3 ล้านคน

เมื่อปี 2546 จับกุมผู้เสพเข้าสู่ระบบ และมีหลักฐานในการดำเนินคดีประมาณ 140,000 คน ตอนนี้เจ้าหน้าที่รัฐจับกุมผู้เสพยาบ้า และถูกคุมตัวอยู่ในเรือนจำ จำนวน 204,000 คน เพิ่มขึ้นมา 45 เปอรฺ์เซ็นต์ แต่เมื่อปี 2565 ทาง ป.ป.ส. ได้ให้งบประมาณกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการค้นหาผู้เสพยาเสพติด และได้รับรายงานว่ามีจำนวนผู้เสพยาบ้า ประมาณ 500,000 คน เพิ่มขึ้นประมาณ 290 กว่าเปอร์เซ็นต์

 

“หลายหน่วยงานพบว่าผู้เสพยาบ้าน่าจะอยู่ในระบบของเจ้าหน้าที่ ประมาณ 1.5 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 900 กว่าเปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แม้จะจับกุมจับกุมผู้เสพยาบ้าเพียง 1 เม็ด และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ต้องย้อนดูว่า ยาบ้ามันลดลงหรือไม่ เพราะในมุมสถิติ จำนวนไม่ได้ลดลงเลย”

 

ภารกิจท้าทาย "บิ๊กหลวง" ปราบยาเสพติด เน้นบำบัดคืนสังคม

จากนั้นได้มีการเปลี่ยนทัศนะ ให้มองคนเสพยาเสพติด อยู่ในฐานะ“ผู้ป่วย”ไม่ให้มองว่าเป็นอาชญากร และควรให้โอกาสกับผู้ที่เสพยาเสพติด ที่สมัครใจบำบัดให้ได้กลับมาในสังคม ซึ่งพบว่าผู้เสพยาเสพติด กว่า 500,000 คน ในจำนวนนี้ มีคนที่คลุ้มคลั่ง หรือ เรียกว่า เป็นผู้ป่วยจิตเวช ที่มีสาเหตุจากการเสพยาเสพติด อยู่ประมาณ 320,000 คน มีทั้งคลุ้มคลั่ง ควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือ กลุ่มที่สามารถอยู่ในชุมชนได้ไม่มีอาการทางประสาท

 

“กลุ่มที่คลุ้มคลั่งและ ไม่สามารถอยู่ในชุมชนได้ มีอยู่ประมาณ 6,000 – 7,000 คน ส่วนอีก 25,000 คน สามารถอยู่ในชุมชนได้ แต่บางคนหากเสพยาเสพติดไปแล้ว ก็ไม่สามารถทนกระแสต่อต้านและอาศัยอยู่ในชุมชนได้ รัฐบาลเลยกำหนดโครงการ “Quickwin” เพื่อจะเร่งแก้ปัญหาไม่ให้บุคคลเหล่านี้ไปทำความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน ต้องนำคนที่ติดยาเสพติด จำนวน 32,000 คน เข้าสู่กระบวนการบำบัดให้หายเป็นปกติ คือสิ่งแรกที่ควรเริ่มลงมือทำโดยเร็ว”

 

ภารกิจท้าทาย "บิ๊กหลวง" ปราบยาเสพติด เน้นบำบัดคืนสังคม


คาดหวัง 1 ปี ลดปัญหายาเสพติด-ค้นคว้าวิจัยไม่หยุดนิ่ง

เมื่อวางนโยบายภายใน 1 ปีต้องแก้ปัญหายาเสพติด แล้วคาดหวังจะลดได้กี่เปอร์เซ็นต์นั้น เรื่องนี้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ บอกว่า ประเด็นนี้ ขอไม่ตอบว่าจะลดได้กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าครบ 1 ปี ตามแนวทางการปฏิบัติที่ตั้งไว้ เชื่อว่าการแก้ไขปัญหายาเสพติดน่าจะลดลงตัวชี้วัดที่ชัดเจนคือการรับแจ้งเหตุทางวิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่ คดีเกี่ยวกับยาเสพติดลดลงหรือไม่ มีรับแจ้งคนคลั่งยาลดลงหรือไม่

"และจะต้องประเมินในขั้นต้นว่ายาเสพติดมีราคาสูงขึ้นหรือไม่ ถ้าสูงขึ้นแสดงว่ายาเสพติดลดลง เป็นต้น หรือทำการค้นหาผู้เสพในชุมชน หากมีปริมาณลดลง แสดงว่าที่ทำมาตลอด 1 ปี คือการเดินมาถูกทางแล้ว ป.ป.ส.เป็นหน่วยงานกำหนดยุทธศาสตร์ชาติร่วมกับรัฐบาลในการแก้ปัญหาส่วนนี้”

 

ภารกิจท้าทาย "บิ๊กหลวง" ปราบยาเสพติด เน้นบำบัดคืนสังคม


สำหรับแนวทางที่จะต้องทำต่อไปนั้น พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ บอกว่า ในเรื่องการค้นคว้า การวิจัยของป.ป.ส. ได้ให้ทางนักตรวจพิสูจน์ หรือ นักเคมี ช่วยกันคิดค้นว่าจะมีสารตั้งต้น หรือตัวยาใดที่จะถูกนำมาทดแทนยาบ้าในอนาคต ซึ่งเรื่องแบบนี้ทางต่างประเทศได้มีการคิดวิเคราะห์ เพื่อป้องกันไม่ให้มีสารตัวใหม่ที่อาจถูกนำมาทดแทน จนนำไปสู่การเป็นยาเสพติดชนิดใหม่ ทางป.ป.ส.จึงต้องทำวิจัย และเก็บข้อมูล

 

ประกาศเขตควบคุมพิเศษพื้นที่ 3 จังหวัด

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ยอมรับว่า ข้อมูลทางด้านข่าวกรองพบว่า ยาบ้าลักลอบเข้ามาในพื้นที่ฝั่ง 3 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย และ นครพนม ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีการลักลอบขนส่งยาเสพติดมากที่สุดกว่าจังหวัดอื่น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะประกาศให้เป็นเขตควบคุมพิเศษ โดยใช้กฎหมายยาเสพติด มาตรา 5 (10) ใช้สรรพกำลังของเจ้าหน้าที่ ใช้องคาพยพ ใช้กลไกของรัฐทุกส่วนลงไปในพื้นที่ทั้งหมด

 

ภารกิจท้าทาย "บิ๊กหลวง" ปราบยาเสพติด เน้นบำบัดคืนสังคม


จังหวัดเชียงใหม่มีทั้งหมด 5 อำเภอ คือ แม่อาย ฝาง เชียงดาว เวียงแหน และ ไชยปราการ จังหวัดเชียงรายมี 6 อำเภอ คือ แม่จัน แม่ฟ้าหลวง แม่สาย เชียงแสน เชียงของ และ เวียงแก่น ส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครพนม มี 5 อำเภอ คือ ท่าอุเทน เมืองนครพนม ท่าพนม และบ้านแพง

 

“การเฝ้าระวังลักลอบขนยา มีกอ.รมน.ดูแลอยู่ ร่วมกับศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ในเชิงนโยบาย พร้อมขับเคลื่อนร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 และภาค 2 โดยให้แม่ทัพน้อยที่ 3 ดูแสสถานการณ์ภาคเหนือ แม่ทัพน้อยที่ 2 ดูสถานการณ์ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และให้องคาพยพทุกหน่วย ทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือนเข้าไปสนับสนุนการทำงานให้เป็นระบบมากขึ้น”

 

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ บอกอีกว่า การทำงานพุ่งเป้าไปที่ 15 อำเภอต้องตรวจสอบละเอียดในเรื่อง ขนส่งโลจิสติก และควบคุม ตามแนวชายแดนต้องตรวจอย่างละเอียด มีระบบการลาดตระเวนที่เข้มงวด เพื่อให้ผู้ค้ารายย่อยไม่มีที่ยืนในพื้นที่“นโยบายที่ควรทำโดยเร็วที่สุด คือ การทำให้คนเสพยาเสพติด 32,000 คน ที่ทำให้ชาวบ้านหวาดระแวงต้องลดลงโดยด่วน”

 

ภารกิจท้าทาย "บิ๊กหลวง" ปราบยาเสพติด เน้นบำบัดคืนสังคม

 

จับกุมต้องคำนึงสิทธิมนุษยชน ชาวบ้านไม่เดือดร้อน

เมื่อลงลึกไปถึงกระบวนการจับกุมที่ต้องคำนึงสิทธิมนุษยชนด้วย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ยอมรับว่า การจับทั้งผู้ค้าและผู้เสพต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ ไม่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน เพราะปัจจุบัน มีพ.ร.บ.อุ้มหาย เข้ามามีส่วนในการทำงาน ซึ่งถือว่าเรื่องที่ดี เพราะตั้งแต่เริ่มจับกุม จะต้องมีการบันทึกข้อมูลไว้ตลอด ถือเป็นความโปร่งใสในการทำงาน

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ บอกอีกว่า ขั้นตอนการจับกุม มีรายละเอียดที่ค่อนข้างเยอะ ไม่ได้หมายความว่า ถือยาบ้าเพียงไม่กี่เม็ด เมื่อถูกจับจะอ้างเป็นผู้ป่วยสมัครใจบำบัดได้เสมอไป เรามีขั้นตอนกระบวนการอยู่ ทั้งในเรื่องสืบสวน และพฤติกรรมของผู้ถูกจับกุม และยังมีองค์ประกอบหลายส่วนการจำแนกระหว่างผู้ค้ากับผู้เสพ เช่นเดียวกับการบำบัด หากสมัครใจบำบัด ต้องอยู่ในการดูแลเจ้าหน้าที่ มีการตรวจสมรรถภาพ และสุขภาพสม่ำเสมอ หากบำบัดแล้วหลบหนีออกมา จะต้องถูกควบคุมตัวดำเนินคดี

 

 “ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากเสพยาเสพติด แต่สาเหตุที่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะปัญหาทางครอบครัว สังคม หรืออาจพลั้งเผลอ พ่อแม่อาจดูแลลูกไม่เต็มที่ ลูกไปคบเพื่อนทำให้เผลอไปเสพยาตามเพื่อน เมื่อถูกจับดำเนินคดี คำถามคือ เราจะไม่ให้โอกาสเด็กคนนี้เลยอย่างนั้นหรือ เราจะผลักดันเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเหมือนที่เคยทำมาอย่างนั้นหรือ เราทำแบบนี้มาตั้งแต่ปี 2546 แล้วถามว่าปัญหายาเสพติดหมดไปหรือไม่ คำตอบคือ ยังไม่หมด”

 

ภารกิจท้าทาย "บิ๊กหลวง" ปราบยาเสพติด เน้นบำบัดคืนสังคม


บำบัดผู้เสพ-ต้องลดจำนวนคนเสพด้วย

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ยังบอกอีกว่า เมื่อมีมาตรการบำบัดผู้เสพแล้ว ต้องดูเรื่องการลดจำนวนคนเสพด้วย ยาบ้าไม่ได้ผลิตที่ประเทศไทย แต่ผลิตที่ประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลพยายามหาเครื่องมือทุกทางมาสกัดกั้น การจับกุมแบบเดิม คือ เสพยาเสพติดก็จับ มียาบ้าเม็ดเดียวก็จับ ถามว่าสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ เมื่อจับแล้ว ก็ต้องส่งคนเหล่านั้นเข้าไปอยู่ในเรือนจำเป็นจำนวนมาก พอกลับออกมาก็วนเวียนอยู่ในวังวนเดิม

 

"การกำหนดเพื่อให้โอกาสคนที่เสพยาเสพติด ที่สมัครใจบำบัด ได้เข้าสู่กระบวนการของทางเจ้าหน้าที่ สุดท้ายแล้วการแก้ปัญหายาเสพติดที่ได้ผลดีที่ดีที่สุด คือทำให้ครอบครัวแข็งแรง และชุมชนเข้มแข็ง นี่คือสิ่งที่ยาเสพติดหวาดกลัวมากที่สุด”

 

หลังจากนี้รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ส.ทำหน้าที่่เปรียบเสมือน“โค้ช” เพื่อให้ทุกฝ่ายเดินไปพร้อมกัน คาดหวังทำให้ยาเสพติดลดลง และนำตัวผู้เสพกลับคืนสู่สังคมได้ นั้นหมายถึงการทำงานที่เดินมาถูกทางแล้ว

 

ภารกิจท้าทาย "บิ๊กหลวง" ปราบยาเสพติด เน้นบำบัดคืนสังคม

 

ทีมข่าวอาชญากรรม : เรื่อง