
7 กันยายน 2566 ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษา คดีร่วมกันมั่วสุมชุมนุม หมายเลขดำ อ596/2565 ที่พนักงานฝ่ายคดีอาญา เป็นโจทก์ฟ้อง นายรังสรรค บุญพึ่ง และ นางปราณี บุญพึ่ง สองสามีภรรยา ผู้ชุมนุม กลุ่มทะลุแก๊ส
เป็นจำเลยในความผิดฐาน ร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายฯ ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในความครอบครอง โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฯ
โดยอัยการระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 64 เวลากลางวันถึงเวลากลางคืน จำเลยทั้งสองได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิด ต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันมีเสื้อเกราะป้องกันกระสุน จำนวน 1 ตัว อันเป็นยุทธภัณฑ์ ไว้ในความครอบครอง โดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีหนังสติ๊ก ลูกแก้วไว้ใช้ประทุษร้ายร่างกาย
แล้วจำเลยได้ร่วมกันขับขี่รถยนต์ ทะเบียน กษ 8960ภูเก็ต ไปบริเวณถนนดินแดง แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร โดยใช้หน้ากากอนามัย จำนวน 2 อัน ปิดปังแผ่นป้ายทะเบียนรถทั้งด้านหน้าและด้านหลัง อันเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยวิธีใด ๆ หรือปิดบังทั้งหมด หรือแต่บางส่วน ซึ่งแผ่นป้ายทะเบียนรถ หรือเครื่องหมายประจำรถ และเป็นการไม่แสดงแผ่นป้าย และเครื่องหมายครบถ้วน
แล้วจำเลยร่วมกับพวกมากกว่า 25 คน จัดกิจกรรมชุมนุมมั่วสุม ที่บริเวณแยกใต้ทางด่วนดินแดง และถนนวิภาวดีรังสิต โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก เจ้าพนักงานซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยการชุมนุมทางการเมืองดังกล่าว ไม่มีการจำกัดทาง เข้า – ออก ทุกคนสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการติดต่อโควิด-19
ต่อมา เจ้าพนักงานตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) ได้สั่งให้จำเลย และกลุ่มผู้ชุมนุม ยุติการชุมนุม แต่จำเลยทั้งสองกับพวก ขัดขืนไม่เลิกกระทำ และจุดไฟเผายางรถยนต์และวัสดุอื่น ๆ รวมทั้งใช้กำลังประทุษร้าย ขว้างปาเจ้าพนักงานด้วยประทัด ลูกแก้ว และของแข็งต่าง ๆ โดยเจตนาใช้ประทุษร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ อันเป็นการกระทำ ให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยมีอาวุธ
จึงขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 15, 34, 42 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 215, 216, พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 พ.ร.ก.กำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฯ จำเลยให้การปฏิเสธฐานร่วมกันมั่วสุมชุมนุม แต่ข้อหาอื่นรับสารภาพ
โดยศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้งสอง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรคสอง พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 42 พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 11, 60 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 มาตรา 35 (1), 53 พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 9, 18
การกระทำของจำเลยทั้งสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งยุทธภัณฑ์ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันนำรถยนต์มาใช้ โดยไม่แสดงแผ่นป้ายและเครื่องหมายครบถ้วนถูกต้อง ปรับคนละ 2,000 บาท
ฐานร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ , ฐานร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคล ที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 5 คนในลักษณะที่มีความเสี่ยงต่อโรค ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดอันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม มาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฯ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษฐานร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกคนละ 1 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เฉพาะความผิดฐานร่วมกัน มีไว้ในครอบครองซึ่งยุทธภัณฑ์ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานร่วมกันนำรถยนต์มาใช้ โดยไม่แสดงแผ่นป้ายทะเบียนให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา
จึงลดโทษในความผิดทั้งสองฐาน ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุกคนละ 6 เดือน ฐานร่วมกันนำรถยนต์มาใช้ โดยไม่แสดงแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ให้ถูกต้องครบถ้วน คงปรับคนละ 1,000 บาท รวมจำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 1 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา และปรับคนละ 1,000 บาท ริบเสื้อเกราะป้องกันกระสุน และหน้ากากอนามัยของกลาง ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก