
28 สิงหาคม 2566 น.ส.อรการ จิวะเกียรติ ผู้ประกาศข่าว รายการ Morning Nation ช่อง เนชั่นทีวี 22 พร้อมด้วย น.ส.ชิดชนก ลำใย ทนายความ และ นายธนศักดิ์(สงวนนามสกุล) อายุ 66 ปี อดีตผู้บริหารรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้เสียหาย เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 เพื่อแจ้งความดำเนินคดี หลังมีมิจฉาชีพหลอกให้ลงทุนคริปโต สูญเงินไปร่วม 20 ล้านบาท
นายธนศักดิ์ ผู้เสียหายเปิดเผยว่า ช่วงต้นเดือน มิถุนายนที่ผ่านมา ได้มีเฟซบุ๊กของ น.ส.อรการ จิวะเกียรติ ผู้ประกาศข่าว ทักเข้ามาพูดคุยทำความรู้จัก ซึ่งตนรู้สึกว่าคุยถูกคอ อัธยาศัยดี จากนั้นคนร้ายได้ชักชวนให้พูดคุยต่อกันทางแอฟพลิเคชันไลน์ ในการสนทนาแต่ละครั้งเป็นไปในลักษณะของการคุยเชิงชู้สาว
“คนร้ายพูดคุยในทำนองเชิงจีบก่อน จากนั้นคนร้ายเริ่มชักชวนให้เทรดคริปโต ครั้งแรกลงทุนไป 2 หมื่นบาท ได้กำไรมา 4,000 บาท จึงหลงเชื่อ และลงทุนเรื่อยๆ ในระหว่างที่มีการคุยผ่านทางไลน์ เฟซบุ๊กของผู้ก่อเหตุพบว่า มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา มีการโพสต์ไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่มีความคล้ายคลึงกับชีวิตจริงของคุณกวางมากๆ” น.ส.อรการ ระบุ
นายธนศักดิ์ เล่าเพิ่มเติมอีกว่า ช่วงที่พูดคุยก็จะเป็นเวลาที่สอดคล้องกับเวลาเลิกอ่านข่าวของคุณกวาง มีการวีดิโอคอลหากันจริง แต่ไม่ได้เป็นภาพเคลื่อนไหว ส่วนใหญ่เป็นภาพนิ่งของคุณกวาง ทำให้หลงเชื่อมากขึ้นไปอีก และกล้าที่จะพูดคุยด้วย ในระหว่างที่มีการลงทุนคนร้ายก็อ้างว่า จะร่วมลงทุนด้วยจำนวน 3.4 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในช่วงเวลาเทศกาลสำคัญมีการบอกว่า จะนำผลกำไรที่เทรดได้ไปเที่ยวต่างประเทศและทำบุญร่วมกัน ในการพูดคุยเคยมีการนัดเจอกันอีกด้วย แต่เมื่อถึงเวลานัดหมายจริงมักจะมีข้ออ้างเสมอว่า "เพื่อนประสบอุบัติเหตุ" กำลังไปรอเยี่ยม พร้อมส่งรูปมายืนยันอีกด้วย
“จุดสังเกตุผิดปกติตรงที่เวลาผมเทรดเองมักจะขาดทุน แต่ถ้าเทรดตามที่เขาบอกมักจะได้กำไรมากกว่า ช่วงหลังๆ เริ่มรู้สึกว่ามีการลงทุนไปเยอะ จึงให้ถอนเงินออกมาบ้าง แต่กลับพบว่าไม่สามารถนำเงินออกจากระบบได้ จึงคิดว่าน่าจะโดนหลอกแล้ว จากพฤติการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ต้องสูญเงินไปร่วม 20 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง 2เดือนเท่านั้น”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คนร้ายคุยในลักษณะชู้สาวนั้นคุยประมาณไหน ผู้สียหายระบุว่า คนร้ายพยายามพูดจาจีบ และมักจะใช้คำพูดเรียกตนว่า “พี่” หรือบางครั้งก็มีการใช้คำพูดเรียกตนว่า ”ที่รัก”
ด้าน น.ส.อรการ ระบุว่า ตนถือเป็นผู้เสียหายเพราะถูกนำภาพและไลฟ์สไตล์ไปปลอมเฟซบุ๊ก และหลอกผู้เสียหาย ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้เรื่องที่เกิดขึ้น กระทั่งเมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้เดินทางไปต่างประเทศและได้รับการประสานจากทางทีมงานว่า มีคนร้ายปลอมเฟซบุ๊กและไปหลอกผู้เสียหายสูญเงินหลาย 10 ล้านบาท ทันทีที่ทราบเรื่องทำให้ตนรู้สึกตกใจมาก จึงประสานทีมงานและร่วมหารือกัน สุดท้ายสรุปว่าเข้าแจ้งความเอาผิดผู้กระทำผิดให้ได้
"ยืนยันตรงนี้เลยว่า ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กแล้ว หากมีเฟซบุ๊กที่แอบอ้างชื่อของตัวเองทักไปอย่าหลงเชื่อ และหากใครเสียหายให้ดำเนินการแจ้งความทันที ยอมรับว่าสงสารผู้เสียหายมาก เพราะเคยอ่านข่าวในลักษณะนี้มาหลายครั้ง ไม่คิดว่าวันนี้จะมีผู้เสียหาย จากการที่เอาโปรไฟล์ของตัวเองไปหลอก ทำให้ตัวเองต้องตกเป็นผู้เสียหายด้วย " น.ส.อรการ ระบุ
ขอฝากไปถึงนักลงทุน ที่คิดจะลงทุนทางด้านนี้ ตามคำที่เราเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนการลงทุน ” ซึ่งผู้ลงทุนต้องตรวจสอบก่อนไม่ว่าจะเป็นใบจดทะเบียนของบริษัท และความน่าเชื่อถือในแวดวงที่ตัวเองจะลงทุนด้วย และหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงิน อยากให้ทุกคนสงสัยไว้มากๆ อย่าหลงไว้ใจ หรือเชื่อใจใครง่ายๆ
ด้าน พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานฑ์ เปิดเผยว่า ลักษณะกลลวงของผู้เสียหายในเคสนี้ คือการหลอกลวงแบบไฮบริด สแกม คือการพูดคุยติดต่อผ่านทางช่องทางออนไลน์ จากนั้นจะหลอกล่อให้รัก และเชื่อใจ ก่อนจะหลอกให้ลงทุน ซึ่งในเคสผู้เสียหายรายนี้ มีการโอนเงินออกไปกว่า 24บัญชี จำนวน 33 ครั้ง เป็นเงินเกือบ20ล้านบาท
“ตอนนี้ได้ให้ตำรวจ สอท.1 ประสานงานไปยังธนาคารที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการอายัดบัญชีที่เกี่ยวข้อง และตรวจสอบเส้นทางการเงินว่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างไร ร่วมไปถึงตรวจสอบยึดอายัดเงินที่มีการค้างในบัญชีม้า ในสายบัญชีที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ไม่ยืนยันว่าจะได้เงินคืนเท่าไหร่ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำให้ดีที่สุด และอยากฝากเตือนไปยังนักลงทุน ให้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือก่อนลงทุนไม่ว่าจะเป็นเอกสารการจดทะเบียนบริษัท เอกสารจาก กลต. ”
พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานฑ์ ระบุอีกว่า ในปัจจุบัน สถิติ มีการหลอกผ่านทางเฟซบุ๊กเยอะที่สุด หากใครที่พูดคุยการลงทุนผ่านแอฟพลิเคชั่นนี้ หรืออื่นๆก็ต้องดูเครื่องหมายติ๊กถูกด้านขวา มือ จำนวนผู้ติดตาม และการคอมเม้นท์ต้องมีหลายๆคน จึงจะดูว่ามีการปฏิสัมพันธ์
“ ผบ.ตร.ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ตามสโลแกนที่ว่า ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน นอกจากนี้จะพบได้ว่าแก๊งเหล่านี้จะแฝงตัวอยู่ประเทศเพื่อนบ้านนอกจากการเตือนประชาชน ขอความร่วมมือจากธนาคาร ตอนนี้เสาสัญญาณที่อยู่ตามตะเข็บชายแดนได้มีการหันตัวรับสัญญาณเข้ามาในประเทศ เพื่อลดสัญญาณในประเทศเพื่อนบ้านแล้ว จากเดิมที่ตัวรับสัญญาณหันไปทางเพื่อนบ้าน ทำให้สัญญาณโทรศัพท์แรงจนสามารถหลอกคนไทยได้”