18 เมษายน 2566 ปมชู้สาวที่กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวใน กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ในครั้งนี้ ได้รับการร้องเรียนจาก นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึงปลัดกระทรวงยุติธรรม ในกรณีที่อดีต อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพวกรวม 10 คน ร่วมกัน ขู่บังคับเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราว จำนวน 14 คน
ทั้งนี้ มีพฤติกรรมไปปิดห้องทำงานและยึดโทรศัพท์มือถือไปตรวจสอบข้อมูล พร้อมกับบังคับให้ลงชื่อยินยอมในการมอบโทรศัพท์มือถือไปตรวจสอบ ภายหลังเกิดกรณีที่มีภาพของ "อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ" ไปเที่ยวต่างประเทศ ต่างจังหวัด และสถานบันเทิง กับเจ้าหน้าที่สาวในสังกัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในลักษณะความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาว
เมื่อภาพดังกล่าวได้หลุดไปจนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ภายในองค์กร ซึ่งต่อมาอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษคนดังกล่าว จึงได้ขู่บังคับเจ้าหน้าที่ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการปล่อยภาพหลุดดังกล่าว ยึดเอาโทรศัพท์มือถือไปตรวจสอบอย่างไม่เต็มใจ
การกระทำดังกล่าว ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และเป็นการใช้อำนาจมิชอบโดยกฏหมาย ซึ่งในกลุ่มผู้ก่อเหตุนั้นมีทั้งอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้อำนวยการ และระดับเลขานุการกรม
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า การมาร้องเรียนในวันนี้ เพราะอยากให้ปลัดกระทรวงยุติธรรม ดำเนินการตามระเบียบของข้าราชการพลเรือน โดยการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง เพื่อลงโทษกับเจ้าหน้าที่ที่มีพฤติกรรมชู้สาว รวมทั้งใช้อำนาจโดยมิชอบข่มขู่คุกคามผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นการละเมิดกฏหมาย กฏระเบียบราชการ และละเมิดสิทธิมนุษยชน
กรณีนี้ ผู้เสียหายยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยภาพหลุดดังกล่าว ทั้งที่ความจริงแล้ว เจ้าหน้าที่สาวคนสนิทของอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้โพสต์ลงใน Instagram ส่วนตัวเอง จึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีอาญาที่ บก.ปปป. ไปแล้ว ซึ่งขณะนี้ พนักงานสอบสวน บก.ปปป. ได้ส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. พิจารณาชี้มูลแล้ว
นอกจากนี้นายอัจฉริยะยังได้ไปร้องที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งได้มีการไต่สวนผู้เสียหายไปแล้ว คาดว่าจะมีคำสั่งในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม นายอัจฉริยะ ยังขีดเส้นตายเอาผิด อดีตอธิบดีDSI ระบุว่า ภายใน 1 เดือน หากกรณีนี้ยังไม่มีความคืบหน้า จะยื่นเรื่องร้องเรียน ป.ป.ช. เพื่อเอาผิดกับปลัดกระทรวงยุติธรรม ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ด้วย