พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ทำพิธีปิดโครงการ Special LawLAB “การสืบสวนสอบสวนยุค 5G” โครงการนำร่องศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง หรือ Young Lawyers – Police Engagement Pilot Project ที่ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ภายหลังที่คัดเลือกนิสิตชั้นปีที่ 2 – 4 คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าฝึกอบรมภาควิชาการ และภาคปฏิบัติ กับตำรวจใน 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล, สน.พญาไท, สน.ห้วยขวาง, สน.บางเขน, สน.บางนา และ สน.พระโขนง
ในช่วงแรกให้นิสิตฯ ที่ได้ดูการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ และฝึกปฏิบัติงานจริง ตามสายงานต่างๆ เช่น งานสอบสวน งานป้องกันปราบปราม งานสืบสวนสอบสวน งานจราจร ได้เล่าถึงประสบการณ์การทำงาน ซึ่งน้องๆ ได้กล่าวถึงปัญหา อุปสรรค และข้อขัดข้องที่เกิดขึ้นจริง ในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ
เช่น ปัญหาด้านกำลังพลที่มีไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน ด้านการบังคับใช้กฎหมายต้องคำนึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่อาจไม่ตรงตามหลักทฤษฎี ประชาชนไม่ทราบเขตอำนาจสอบสวนของแต่ละ สน. รวมถึงขาดการพัฒนาทางเทคโนโลยี
ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมโครงการกล่าวว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี ทำให้ได้รับทราบถึงปัญหา ข้อขัดข้องการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ โดยอยากให้จัดโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง แต่อยากให้จัดในช่วงของการปิดภาคการศึกษา และเพิ่มระยะเวลาการฝึกให้มากกว่านี้ เพราะการฝึกแต่ละสายงานมีรายละเอียดค่อนข้างมาก พร้อมได้กล่าวขอบคุณคณะครูพี่เลี้ยง ที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยให้เป็นอย่างดีขณะที่ฝึกปฏิบัติงาน
นอกจากนี้ ทำให้เห็นกระบวนการทางยุติธรรมตั้งแต่ต้นทางว่ากว่าจะได้ข้อมูล พยานหลักฐาน นำไปสู่การจับกุมคนร้ายนั้นต้องใช้ความรู้ ความสามารถ ความอดทนในทุกขั้นตอน ซึ่งหลายๆอย่างตำรวจจำเป็นต้องปกปิดข้อมูล ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ เนื่องจากอาจจะกระทบต่อรูปคดี จนอาจจะทำให้กลายเป็นประโยชน์กับทางผู้ต้องหา
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจแทนตำรวจทั่วประเทศ เพราะอยากให้ประชาชน ซึ่งน้องนิสิตเสมือนเป็นตัวแทนประชาชนได้เข้าใจการปฏิบัติหน้าที่ว่าตำรวจทำอะไรบ้าง ในขณะเดียวกันก็ต้องการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน อยากให้น้องๆ มีความทรงจำที่ดีจากการเข้าร่วมโครงการนี้ พร้อมยอมรับว่าตำรวจมีปัญหาจริง
โดยเฉพาะด้านกำลังพล ก็ต้องมีการปรับแก้กันไป ยกตัวอย่างหากเกิดเหตุแล้วกำลังสายตรวจไประงับเหตุแต่ไม่เพียงพอ ฝ่ายสืบสวน ฝ่ายจราจร ก็ต้องไประงับเหตุด้วย รวมถึงการฝึกยุทธวิธีด้านต่างๆ อย่างการใช้ไม้ง่ามในการระงับเหตุ ด้านการพัฒนาทางเทคโนโลยี เช่น การพิมพ์ลายนิ้วมือ กำลังมีโครงการติดตั้งเครื่องสแกนลายนิ้วมือซึ่งสามารถตรวจสอบประวัติได้ด้วย โดยเบื้องต้นจะเริ่มต้นที่ บช.น.
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวต่อว่า ยุคสมัยนี้ “ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ที่อยู่ในความรับผิดชอบ แล้วตำรวจไทยไม่มีความพยายามทำให้ได้” ก่อนขึ้นมอบประกาศนียบัตรให้แก่นิสิตฯ ที่เข้าร่วมโครงการฯ
ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์ คณบดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวขอบคุณทางตำรวจทุกคนที่ดูแลนิสิตอย่างดีมาตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในคราวแรกทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และทางคณะครูจะมีความกังวลใจ เมื่อเห็นว่านิสิตที่เข้าร่วมโครงการส่วนใหญ่เป็นนิสิตผู้หญิง แต่เมื่อได้พูดคุยกับนิสิต ได้รับทราบมาว่าพี่เลี้ยงทุกคนดูแลอย่างดีพร้อมทั้งไปรับไปส่งจนถึงที่พักทุกคืนหลังจากเสร็จภารกิจ
ขณะเดียวกันต้องขอบคุณ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จัดโครงการนี้ขึ้น เปรียบเสมือนมิติใหม่ที่ยินยอมเปิดประตูตัวเองออกมา เปิดรับประชาชน โดยเฉพาะเป็นเด็กเเละเยาวชน ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นการปรับตัว เปิดประตูให้ประชาชนได้เข้าไปเห็นว่าตำรวจทำงานอย่างไร ไม่ใช่เเค่การได้ยินได้ฟังว่าตำรวจที่มักพูดว่าภาระหน้างานจำนวนมาก
เเต่ครั้งนี้จะทำให้ประชาชนได้เข้าไปรับรู้ และมีส่วนร่วม เห็นการทำงานของตำรวจอย่างแท้จริง ส่วนตนในฐานะอาจารย์ ต้องกลับไปดูกระบวนการเรียนการสอนว่ามาถูกทางเเล้วหรือยัง รวมทั้งต้องมาคิดโจทย์เพิ่มเติมว่าจะทำอะไรกลับคืนให้สังคมได้บ้าง เป็นโจทย์ว่าจะขยายมุมมองที่เราได้ทำ เเละทำให้สังคมได้รู้ ได้เห็นเหมือนกันกับที่เราและนิสิตได้สัมผัสมา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง