นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายต่อศักดิ์ โชติมงคล ประธานที่ปรึกษาผู้ว่ากทม. เปิดเผยความคืบหน้ากรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว หลังบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ได้เผยแพร่คลิป #ติดหนี้ต้องจ่าย ไปก่อนหน้านี้ว่า กทม.ไม่ได้มีเจตนาชะลอการชำระหนี้ค่าจ้างการเดินรถสายสีเขียว โดยได้แบ่งสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็น3ส่วน ประกอบด้วย
-สัญญาสัมปทาน
- ค่าจ้างการเดินรถส่วนต่อขยาย 1 ซึ่งกทม.ทำสัญญาจ้างให้กรุงเทพธนาคมบริหารจัดการระบบจ้างการเดินรถ แล้วกรุงเทพธนาคมก็ไปทำสัญญาจ้างการเดินรถและซ่อมบำรุงกับเอกชน
- ส่วนต่อขยาย 2 ส่วนนี้ยังเป็นปัญหา เพราะกทม.มอบให้กรุงเทพธนาคมเป็นผู้เดินรถและจัดหาระบบ ซึ่งจะเห็นได้ว่าส่วนต่อขยาย1กับ 2ไม่เหมือนกัน
ทั้งนี้เนื่องจากส่วนต่อขยาย 1 เป็นสัญญาจ้าง แต่ส่วนต่อขยาย 2 เป็นการมอบหมาย จากนั้น กรุงเทพธนาคมเลยไปทำการจัดหาระบบ และสัญญาการเดินรถ หรือ O&M
แต่มีการตั้งข้อสังเกตุ คือ ในการตั้งงบประมาณก่อหนี้ผูกพันธ์ของกทม. จะต้องผ่านความเห็นชองของสภากทม. ซึ่งส่วนต่อขยาย1 ทำตามขั้นตอนถูกต้องตามข้อบัญญัติในการบรรจุให้สภากทม.เห็นชอบ เรื่องงบประมาณแล้ว จากนั้นถึงไปทำสัญญาจ้าง ระหว่างกทม.กับกรุงเทพธนาคม แล้วกรุงเทพธนาคมก็ไปทำสัญญาจ้างให้กับเอกชน
แต่ส่วนต่อขยายที่ 2 ที่เป็นปัญหา หากดูไทม์ไลน์ จะเห็นว่าตั้งแต่ 28 มิ.ย. 59 กรุงเทพธนาคมไปทำ E&M หรือสัญญาจ้างการติดตั้งระบบงาน ระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล กับเอกชนก่อน
ซึ่งเป็นการทำก่อนที่จะมาทำบันทึกมอบหมายจาก กทม. โดยบันทึกมอบหมายมาลงนาม ก.ค. 59 จากนั้นกทม.ก็ไปทำบันทึกมอบหมายกับ กรุงเทพธนาคม ก่อนที่งบประมาณจะผ่านสภากทม. จากนั้นไปทำสัญญาจ้างเดินรถ 1ส.ค. 59
โดยในปี 61กทม.ก็นำเสนองบประมาณค่าจ้างบริหารการเดินรถทั้งโครงการส่วนต่อขยาย2 ในระยะเวลาดำเนินการ 15 ปีระหว่างปี 61 ถึง 75 วงเงินรวม กว่า 31,000 ล้านบาท ซึ่งสภา กทม. พิจารณาแล้วไม่อนุมัติโครงการในงบประมาณดังกล่าว เลยทำให้โครงการคั่งค้าง โดยงบประมาณตัวนี้ ยังไม่ผ่านสภาจนปี 64
สำนักงบประมาณ ได้เสนอเพื่อขอจัดสรรงบประมาณในการชำระหนี้ส่วนต่อที่ 1 และส่วนต่อขยายที่1 จำนวนกว่า 9,246 ล้านบาท แต่สภากทม.ก็ยังไม่เห็นชอบให้กทม.จ่ายเนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์
ซึ่งฝ่ายบริหารของกทม.อยากจ่ายเงิน ถ้าอะไรที่ตรงไปตรงมา กทม.ไม่ได้มีเจตนารมย์ที่จะชะลอ แต่ในเมื่อกระดุมเม็ดแรกกลัดไม่ถูกเลยเกิดปัญหาขึ้นมา ฝ่ายบริหาร และกทม.ไม่ได้มีเจตนารมย์ที่จะไปชะลอ แต่มีเรื่องของบันทึกมอบหมายที่ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เนื่องจากยังไม่ผ่านการพิจารณาของสภา
นอกจากนี้ระหว่างการดำเนินการ ก็มีคำสั่งคสช.ที่ตั้งขึ้นมาเจรจาเพื่อแก้ปัญหาหนี้ และกรรมการชุดนี้ แต่งตั้งโดยคสช. ทำให้ได้ร่างสัญญาขึ้นมาจากคณะกรรมการชุดดังกล่าว เนื้อหามีประเด็นเรื่องค่าจ้างการเดินรถ ซึ่งผู้รับสัมปทานจะเป็นผู้รับผิดชอบ โดยค่าจ้างเดินรถยังไม่ได้จ่าย เพราะให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการขยายสัญญาสัมปทาน
ทั้งนี้หลังจาก นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่ากทม.เข้ารับตำแหน่ง กระทรวงมหาดไทยก็มีหนังสือมาถามความเห็นในการดำเนินการ ซึ่งทางผู้ว่ามีหนังสือตอบกลับว่า เห็นด้วยกับนโยบาย ในการโอเปอร์เรตเวลาเดียว เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและขอให้รัฐบาลสนับสนุนค่าจ้างการเดินรถ
โดยมองว่า เรื่องนี้มูลค่าโครงการสูง จึงอยากให้เกิดความรอบคอบโปร่งใส ดังนั้นอยากให้มีการพิจารณาโครงการตาม พรบ.ร่วมทุน2562 และการหาข้อยุติของครม.ตามคำสั่งคสช.จะทำให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินงาน
“ กทม.ไม่ได้มีเจตนาไม่ชำระหนี้ ซึ่งยังรอว่าครม.จะมีความคิดเห็นอย่างไร ถ้าครม.เห็นชอบก็สามารถเดินหน้าได้ เพราะเหตุผลที่ยังไม่สามารถดำเนินการชำระหนี้ได้เนื่องจาก ปัจจุบันยังเป็นการดำเนินการตามคำสั่งคสช.เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 62”
สำหรับส่วนต่อขยาย1 เป็นสัญญาจ้างสมบูรณ์ กทม.ก็ปฏิบัติตามสัญญา แต่ส่วนต่อขยาย2มีความไม่สมบูรณ์ เพราะทางกทม.ยังไม่ผ่านการพิจารณาของสภา จึงต้องนำเข้าสภากทม.เพื่อให้มีมติเห็นชอบ และทางกทม.ได้เตรียมเรื่องนำเข้าสภาไว้เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้คงต้องดูว่าครม.จะมีมติอย่างไร หากครม.มีมติให้ต่อสัญญาสัมปทาน ก็เดินหน้าจ่ายหนี้ได้ทันที แต่ ถ้าครม.ยุติไม่ต่อสัญญา ก็ต้องนำเรื่องเข้าสู่ขั้นตอนของสภากทม.
อย่างไรก็ตาม กทม. มีเงินพอที่จะจ่าย เพราะกทม. มีเงินสะสม ณ วันที่ 1 ต.ค. 65 กว่า 70,000 ล้านบาท ซึ่งได้เตรียมเงินไว้หมดแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่พร้อมหรือไม่มีเงินจ่าย แต่กระบวนการทุกกระบวนการ จะต้องมีการแจกแจง ไม่ใช่ไม่พร้อมจ่าย แต่กระบวนการต้องครบถ้วน