จนถึงขณะนี้การนับคะแนนบัตรเลือกตั้งในการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ที่จัดขึ้นเมื่อวันอังคารยังคงไม่เสร็จสิ้น และสื่อหลายแห่ง รายงานว่า พรรครีพับลิกันใกล้คว้าชัยชนะในสภาผู้แทนราษฎร โดยใกล้กวาดเก้าอี้ ส.ส.ได้ถึงเกณฑ์ 218 ที่นั่งที่สามารถครองเสียงข้างมากในสภา โดยประเมินจากผลการนับคะแนนส่วนใหญ่บ่งชี้ว่า พรรครีพับลิกันได้ 211 ที่นั่ง และพรรคเดโมแครตได้ระหว่าง 192-198 ที่นั่ง และยังเหลืออีกหลายที่นั่งที่สื่อยังไม่ฟันธงชื่อผู้ชนะ
ส่วนผลเลือกตั้งวุฒิสภามีความสูสีมากกว่า โดยสื่อฟันธงว่า พรรครีพับลิกันได้เก้าอี้สมาชิกวุฒิสภา 49 ที่นั่ง และพรรคเดโมแครตได้ 48 ที่นั่ง แต่ยังต้องรอลุ้นผลคะแนนในรัฐแอริโซนา รัฐเนวาดา และรัฐจอร์เจีย และคาดว่า กว่าจะรู้ผลอาจต้องใช้เวลาอีกหลายวันหรือหลายสัปดาห์
รัฐจอร์เจียจะจัดการเลือกตั้งเก้าอี้วุฒิสภารอบสองในวันที่ 6 ธ.ค. เนื่องจากผู้สมัคร ส.ว. ของทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันได้คะแนนไม่ถึง 50% และในรัฐแอริโซนา มีแนวโน้มว่า ผู้สมัครอาจยื่นให้นับคะแนนใหม่ และบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์ที่มีปัญหา เช่น ขาดลายเซ็น ต้องได้รับการแก้ไขก่อนจึงจะนับคะแนนได้ ส่วนในรัฐเนวาดาอนุญาตให้นับคะแนนบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์ ซึ่งประทับวันที่ในวันเลือกตั้ง และส่งมาถึงภายในวันเสาร์หลังวันเลือกตั้งได้ และผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งมีเวลาถึงวันจันทร์เพื่อแก้ไขปัญหาในบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์ เช่น ขาดลายเซ็น เพื่อให้บัตรได้รับการนับคะแนน ทำให้อาจต้องรอจนถึงวันจันทร์กว่าจะรู้ผลคะแนนสุดท้าย
เดิมพรรครีพับลิกันคาดหวังว่า ปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูง และคะแนนนิยมที่ตกต่ำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะทำให้สามารถสร้างกระแส “เรดเวฟ” ที่พรรครีพับลิกันจะกวาดชัยชนะอย่างถล่มทลาย ที่อาจแย่งเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาไว้ได้ แต่ปรากฏว่า ไม่เกิด “เรดเวฟ” ทำให้ภายในพรรคเริ่มหาต้นเหตุที่ทำให้ผลเลือกตั้งออกมาผิดคาด
อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตกเป็นเป้าการโจมตี หลังจากเขาหวังแสดงอิทธิพลทางการเมืองว่าสามารถทำให้รีพับลิกันชนะ โดยประกาศสนับสนุนผู้สมัครเลือกตั้งของพรรคกว่า 300 คน และยังไปช่วยหาเสียงด้วย แต่ปรากฏว่า คนที่ได้รับการสนับสนุนจากเขาหลายคนสอบตก และสมาชิกสภารีพับลิกันบางคน บอกว่า การที่ทรัมป์ส่งสัญญาณว่า เขาจะลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัยในปี 2024 ระหว่างช่วยหาเสียงในโค้งสุดท้าย ไม่ได้ช่วย และยังทำลายพรรคอีกด้วย และมองว่า ยุทธศาสตร์หาเสียงควรเน้นประเด็นนโยบาย ไม่ใช่ตัวบุคคล และควรถอยห่างจากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้แล้ว
สื่อรายงานด้วยว่า การเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้เป็นเหมือนการลงประชามติต่อตัวทรัมป์ด้วย และผู้มีสิทธิเลือกตั้งหลายคนอาจลงคะแนนเพื่อทำลายอิทธิพลของทรัมป์ต่อพรรครีพับลิกัน
นอกจากนี้สื่อระบุว่า แม้โพลล์บ่งชี้ว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความสำคัญ เงินเฟ้อและเศรษฐกิจ แต่เศรษฐกิจยังคงเติบโตและอัตราการว่างงานต่ำ ทำให้ประเด็นอื่น ๆ เช่น สิทธิการทำแท้ง และเรื่องผู้อพยพ ยังคงได้รับความสำคัญ ขณะที่พรรครีพับลิกันหาเสียงในประเด็นเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ทำให้พรรคเดโมแครตมีโอกาสเรียกคะแนนเสียงจากประเด็นอื่น ๆ
และข้อมูลเบื้องต้น บ่งชี้ว่า จำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ทำสถิติในหลายรัฐ และส่วนหนึ่งมาจากฐานเสียงของพรรคเดโมแครตในกลุ่มวัยหนุ่มสาว ที่ให้ความสนใจเรื่องสิทธิการทำแท้ง และคำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐฯ เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ล้มคำตัดสินเดิมเรื่องสิทธิการทำแท้ง ช่วยทำให้เดโมแครตสามารถชูประเด็นเรื่องนี้เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และส่งแรงกระเพื่อมถึงประเด็นอื่น ๆ อย่าง อาชญากรรม และผู้อพยพเข้าเมือง โดยคะแนนเสียงของคนรุ่นใหม่มีส่วนสร้างความแตกต่างของผลคะแนนในบางรัฐสำคัญ ทำให้ไม่ให้เกิดกระแส “เรดเวฟ”
ในการแถลงข่าวเมื่อวันพุธ ประธานาธิบดีไบเดน ยังกล่าวขอบคุนเยาวชน และคน GEN Z ที่ออกมาใช้สิทธิมากเป็นประวัติการณ์อีกครั้งเหมือนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และบอกว่า พวกเขาโหวตเพื่อให้ประเทศเดินหน้าแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ความรุนแรงจากปืน สิทธิส่วนบุคคล และเสรีภาพ และการยกหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
และในขณะที่ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ถูกจับตาว่าจะส่งผลอย่างไรต่อการสนับสนุนยูเครน มีรายงานว่า สมาชิกรัฐสภาคนสำคัญจากทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันส่งสัญญาณว่า จะยังคงให้การสนับสนุนด้านอาวุธและการเงินแก่ยูเครนเพื่อต่อสู้กับรัสเซียในสงครามที่ยืดเยื้อเป็นเดือนที่ 9 ไม่ว่าพรรคใดจะครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสชุดใหม่