svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

เจาะขุมกำลัง “ปฏิวัติ” ท่ามกลางข่าวลือ ไม่มีเลือกตั้ง

05 ตุลาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

แม้วาระการทำงานสภาจะสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งกำหนดให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา มีการเลือกตั้งใหม่ แต่เหตุใดถึงมีการปล่อยข่าวออกมาว่า จะไม่มีการเลือกตั้ง

 

"รายการคมชัดลึก เนชั่นทีวี"  พิธีกร "วราวิทย์ ฉิมมณี"  ได้เชิญ  "พล.ท.ภราดร  พัฒนถาบุตร"  ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย และ"ปกรณ์ พึ่งเนตร"  บรรณาธิการบริหารเนชั่นทีวี ร่วมวิเคราะห์ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดสถานการณ์พิเศษ ท่ามกลางการปล่อยข่าว "ไม่มีการเลือกตั้ง"  

 

เจาะขุมกำลัง “ปฏิวัติ” ท่ามกลางข่าวลือ ไม่มีเลือกตั้ง


วราวิทย์ ถามถึง ได้กลิ่นรัฐประหารไหมที่เขาขู่บอกระวังจะไม่มีการเลือกตั้ง ในฐานะคนทำงานกับพรรคเพื่อไทย

 

"พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร" - ยิ่งเคยทำงานด้านความมั่นคง ดูสภาวะแวดล้อมปัจจุบันกลิ่นรัฐประหารก็ยังจางมาก ผมถือว่าไม่มีด้วยซ้ำไป แต่ว่าการสื่อสารทางการเมืองที่มันเกิดขึ้น มันคือกลยุทธ์ทางการเมืองทำให้เกิดชิงความได้เปรียบก่อนที่จะไปสนามเลือกตั้ง แต่ตรงนี้ถ้าเป็นฝ่ายการเมืองพูดออกมาเองโดยเฉพาะฝั่งรัฐบาล สะท้อนว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะเลือกตั้ง แต่ขณะเดียวกันมารับว่าไม่มีแน่ ความเชื่อของคนปัจจุบันพอทหารบอกไม่มีก็มักจะมี และติดภาพผู้นำสืบทอดอำนาจอยู่ เป็นการสร้างกระแสเพื่อยื้อเวลาออกมา

 

การยื้อคือปลุกตรงนี้มาก่อน เพื่อให้ฝ่ายค้านที่กระแสแลนด์สไลด์จะได้ชักกระตุก เพราะโดยธรรมชาติของนักการเมืองพอพูดถึงรัฐประหารมักจะถูกกระตุก

 

วราวิทย์ ถาม แต่พอไปดูความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลก็งงว่าใครจะยึดใคร แล้วใครจะเป็นคนทำ เสธ.มองยังไง

 

"พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร" - การยึดอำนาจยังไงก็ต้องจบที่ทหารเป็นคนทำอยู่แล้ว เงื่อนไขของรัฐประหารถ้าจะบอกว่าไม่มีเลย จริงๆแล้วมีปัจจัยเดียวที่จะไม่เกิดรัฐประหารก็คือกองทัพของประเทศนั้นต้องเป็นทหารอาชีพ การรัฐประหารจะไม่เกิดขึ้น ย้อนกลับมาถามว่าประเทศไทยว่ากองทัพเป็นทหารอาชีพหรือไม่ แต่แน่นอนถ้าในทางการเมืองสังคมสงสัยว่าพวกนี้เป็นพวกเดียวกันมาจากกระบวนการสืบทอดอำนาจเหมือนกัน แต่ยังไงฝ่ายรัฐบาลก็ทำไม่ได้

 

วราวิทย์ ถามตอนนี้จะมีเงื่อนไขอะไรที่จะทำให้กองทัพมายึด

 

"พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร" - ตอนนี้มันเหนื่อยไปหน่อยถ้าดูจากการโยกย้ายทหารที่ผ่านมา แต่เราไม่ปฏิเสธจากการที่กลุ่มยึดอำนาจแล้วสืบทอดอำนาจมาเนี่ยเนื่องจากครองมา 8 ปี ก่อนหน้านั้นก็บริหารมาแล้วถึงมายึด เพราะฉะนั้นมีการยึดโยงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะคราวนี้โยกย้ายที่ผ่านมาคำว่าบูรพาพยัคฆ์มันเริ่มขลังน้อย พอจางก็เลยเกิดข้อสังเกตจริงๆยังแน่นหนากันอยู่ไหม แล้วตำแหน่งที่โยกย้าย ถ้าตามระเบียบที่ผ่านมา  ไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่ว่ามันมีที่ไม่เป็นตามเพณีเหมือนกัน ก็เลยเป็นข้อสงสัยสุดท้ายแล้ว 3ป. ยังมีพลังต่อกองทัพหรือไม่

 

"พล.ท.ภราดร  พัฒนถาบุตร"  ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย

 

วราวิทย์ ถามเสธแมวมองยังไงกับการที่พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะผลักดันน้อง

"พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร"- จริงๆแล้วการโยกย้ายระดับผบ.เหล่าทัพไม่มีการไปย้ายกลางปี แต่กระแสข่าวลือต้องยอมรับว่าผบ.ทบ.คนปัจจุบันท่านวางบทบาทของท่านไว้พอสมควรที่ไม่ปิดการเมืองจนเกินไป สะท้อนความเป็นทหารอาชีพมากขึ้น แต่เมื่อขยับน้องรักมาไม่ถึงตรงนี้ได้แสดงว่ามีอะไรที่ไม่ลงตัวลื่นไหลไปได้ เพราะถ้ามีอำนาจเต็มช่องว่างการโยกย้ายจริงๆมีโอกาสเลือกผบ.ทบ.ได้ มีโอกาสโยกซ้ายไปขวาได้ แต่ตรงนี้ก็มีแต่ข่าวลือ  แต่สรุปก็ไม่เป็นจริง แต่อย่างน้อยน้องรักขยับขึ้นมาเป็นรองผบ.ทบ. ตรงนี้ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะมีโอกาสได้เป็นต่อขึ้นเป็นผู้บัญชาการสูงสุด
  

 

วราวิทย์ ถามถึงจุดเปลี่ยนขั้วอำนาจ จากตำแหน่ง อดีตผู้บัญชาการทหารบก จุดเปลี่ยนอยู่ที่ พล.อ. อภิรักษ์ คงสมพงษ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา  และพล.อ. ณรงค์พันธ์ จิตแก้วแท้  มาจากสายวงศ์เทวัญ 

 

"พล.ท.ภราดร" วิเคราะห์ว่าสาเหตุที่ ขั้วอำนาจ 3 ป.จะลดลงไปได้ โดยมองว่า พล.อ.อภิรักษ์  แม้ว่าจะออกจากราชการไปแล้ว แต่บทบาทที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ  ซึ่งปัจจุบันก็ยังโยงกับกองทัพ ส่วนบทบาทของ กลุ่ม 3 ป. เป็นบทบาทการทำงานภายใต้การเมืองล้วนๆ ที่มีความล่อแหลม  แต่สิ่งที่เกิดมนต์ไม่ขลัง เพราะ 8 ปีที่ผ่านมา 3 ป.ทำให้เกิดความถดถอย ทำให้ไม่เกิดความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชน ส่งผลกับตัวเอง สุดท้ายกองทัพจะชั่งน้ำหนักตามจุดยืนสถานการณ์นี้  เพราะอาจส่งผลลุกลามมาไม่ใช่แค่รัฐบาล แต่มาถึงกองทัพด้วย  ซึ่งต้องรักษาสถานะให้ดี 

 

เจาะขุมกำลัง “ปฏิวัติ” ท่ามกลางข่าวลือ ไม่มีเลือกตั้ง

วราวิทย์ ถามต่อว่า การย้ายอาวุธออกไปข้างนอกตามหน่วยงานนอกเมืองหลวง ทำให้การคิดที่จะยึดอำนาจทำไม่ได้เหมือนในอดีต

 

"พล.ท.ภราดร" มองว่า การยึดอำนาจ อาวุธหนักไม่ได้มีความจำเป็น เพียงแค่กำลังพลกับอาวุธ ก็สามารถยึดได้ เพราะพี่น้องประชาชนไม่ได้มีอาวุธต่อต้าน แต่อาวุธที่เป็น รถถัง เป็นเพียงการโชว์กำลัง เพื่อข่มขู่ แต่การปฏิบัติการที่สัมฤทธิ์ผลเกิดจากทหารราบที่ใช้อาวุธ 

 

วราวิทย์ ถามต่อว่า หากอ่านใจพล.อ.ประยุทธ์ เมื่ออำนาจในกองทัพไม่ได้แน่นเหมือนเดิม ครั้งหน้าหากการสู้ศึกเลือกตั้ง จะตัดสินใจอย่างไร 

 

"พล.ท.ภราดร" กล่าวว่า ถือว่าเป็นความโชคร้าย ที่จังหวะจะถอยออกกลับไม่ถอย แต่ดันทุรังต่อ จึงเป็นหนทางที่ลำบาก ซึ่งจากนี้ไป "พล.อ.ประยุทธ์" ต้องหันไปข้างหลังว่าใครจะเป็นทายาทให้การดูแลต่อเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ยังไม่มีใคร และเมื่อมีเวลาอยู่ในอำนาจจะต้องดึงไปก่อน และหาทางลง ที่มีคนมาดูแลต่อไปให้ได้ แต่ยากที่จะไปต่อไป  อาจไปอยู่ในแคนดิเดต นายกรัฐมนตรี แต่ก็อยู่ 1 ใน 3 ไม่ใช่ตัวจริง เพราะตนเองเหลืออายุอีก 2 ปี แต่อาจสาหัสกว่านั้น หากใครมี "พล.อ.ประยุทธ์" จะพ่ายแพ้เลือกตั้ง ไม่ใช่การดูแคลนแต่เป็นการวิเคราะห์จากพรรคที่เคยสนับสนุน หรือพรรคร่ามรัฐบาล ที่เคยอยู่ข้าง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มีใครประกาศแบบในอดีต หรือพรรคใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น  ก็ไม่มี

 

วราวิทย์  กล่าวว่า กองเชียร์พลเอกประยุทธ์ยังมีอยู่ ในพรรคพลังประชารัฐ ที่เสนอให้เป็น 1 ใน 3 ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 

 

"พล.ท.ภราดร" บอกว่า เป็นแค่ลมปาก ซึ่งเป็นการพูดให้ดูดี เพราะจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง คาดหวังเป็นรัฐมนตรี  เพื่อเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งและใช้อำนาจรักษาการ  แต่หากดูพฤติกรรมทางการเมือง บ้านเล็กบ้านใหญ่ยังหักกันเอง  

 

วราวิทย์ มองว่า หากมองปัจจัยเกื้อหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จากกองทัพ ขณะนี้เป็นการยากมากขึ้น 

"พล.ท.ภราดร" กล่าวว่า ไม่ใช่ยากขึ้น แต่เป็นการยากมาก เพราะเป็นช่วงท้ายของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งต้องคิดกลยุทธ์ เพื่อชนะการเลือกตั้ง เพื่อให้ตนเองได้แต้มต่อ เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ตนเองหลังลงจากตำแหน่ง  และสร้างคนที่จะมาดูแลตนเองต่อไปได้  เพื่อให้เลยเส้นทางปลอดภัย เพราะการลงจากตำแหน่ง ชีวิตอาจจะบัดซบ แล้วก็ยังเชื่อว่า จะกลายเป็น คณะรัฐประหารที่สืบทอดอำนาจ แต่ไม่ได้จบอย่างลอยนวล แต่จะจบแบบทุลักทุเล ไปเรื่อยๆ ที่จะต่างจากในอดีต เพราะโลกาภิวัฒน์ เปลี่ยนไป ซึ่งจะสกัดกั้นไม่ให้เกิดการรัฐประหารขึ้นมาอีก 


วราวิทย์  คำถามสุดท้าย การปรับเปลี่ยนกำลังที่คุมกองทัพ สาเหตุอะไรที่จะทำให้เกิดรัฐประหารขึ้นอีก

 

"พล.ท.ภราดร" ทิ้งท้ายว่า ยังไม่มีอะไรที่จะเป็นเงื่อนไขไปสู่การยึดอำนาจ แต่จะปล่อยให้ทุกอย่างทางการเมืองผ่านไป ซึ่งหากไม่กระทบกองทัพ การเมืองก็อยู่ไป  เชื่อว่า นักการทหาร วิเคราะห์ว่า รัฐบาลนี้ เฮงซวย แล้วไปไม่ได้ แต่มีความเคารพการเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ จึงไม่มีใครไปพูดตรงๆ ต้องปล่อยไปตามสถานการณ์ทางการเมือง เมื่อมีการเปลี่ยนแล้วค่อยมาว่ากัน เพราะขณะนี้การเมืองที่จะเปลี่ยนก็จะไม่เข้ามาแทรกแซงทหาร  ซึ่งไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทย แต่เชื่อว่าทุกพรรคมีบทเรียนตรงกัน คือ 8 ปีที่ผ่านมา ว่าให้โอกาสแล้ว แต่สุดท้ายใช้ไม่ได้ ทฤษฎีที่ใช้ได้ คือ การรัฐประหารต้องหมดไป เพราะที่ผ่านมา 2-3 ครั้งไม่เคยทำให้ประเทศนี้เจริญขึ้น มีแต่ถดถอย แต่เวทีโลกก็ไม่ยอมรับ 

 

ชมคลิป >>>>ไขปม ข่าวปล่อยไม่มีเลือกตั้ง

 

logoline