27 กันยายน 2565 "นายราเมศ รัตนะเชวง" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีการอ่านคำวินิจฉัยกรณีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ว่า หลักการในเรื่องนี้ต้องถือว่าเป็นกระบวนการวินิจฉัยของกระบวนการยุติธรรมคือศาลรัฐธรรมนูญ มีวิธีพิจารณา กระบวนการไต่สวน การรับฟังพยานหลักฐาน รวมถึงการแสวงหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างละเอียด ตรงไปตรงมา เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในท้ายที่สุด
ทั้งนี้ เมื่อเป็นประเด็นที่ร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญแน่นอนว่ามีสองฝ่าย ทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง คำวินิจฉัยที่จะออกมา ย่อมไม่สามารถที่ถูกใจใครทั้งหมด แต่บ้านเมืองเมื่อมีกระบวนการให้องค์กรสำคัญ คือ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ต้องรับฟังด้วยเหตุและผล ต้องยอมรับและให้เกียรติในอำนาจศาล ไม่เช่นนั้นข้อที่ถกเถียงเป็นประเด็นในสังคม ก็ย่อมไม่มีข้อยุติ
นายราเมศ กล่าวต่อว่า ขั้นตอนวิธีพิจารณาที่ตรงไปตรงมาตรวจสอบได้ ทั้งคำวินิจฉัยส่วนตน และคำวินิจฉัยกลาง คดีของนายกรัฐมนตรีก็เช่นกัน เมื่อมีการร้องมายังศาลรัฐธรรมนูญ ก็เป็นหน้าที่ที่จะต้องพิจารณาไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย และเป็นดุลพินิจของศาล ขณะนี้ ยังไม่มีใครทราบว่าผลคดีจะมีคำวินิจฉัยออกมาในทิศทางใด ควรรอฟังคำวินิจฉัย
"ทุกฝ่ายไม่ควรกระทำการใดในลักษณะ ข่มขู่ คุกคาม กดดัน การทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ตัวอย่างมีให้เห็น การชุมนุม ปี 2552 และ ปี 2553 ก็มีการไปชุมนุมกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ถึงขั้นประกาศชื่อที่อยู่ของครอบครัวตุลาการ ข่มขู่ คุกคาม กดดัน ทุกรูปแบบ จนติดคุกกันไปหลายคน เหตุการณ์นั้นผ่านมาเป็น 10 ปี ไม่อยากให้บ้านเมืองต้องวนกลับไปในสถานการณ์เช่นนั้นอีก" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพรรครอฟังผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนที่มีการวิเคราะห์กันว่าจะมีการยุบสภาหรือไม่ หากคำวินิจฉัยออกมาในแนวทางใดแนวทางหนึ่ง ทุกฝ่ายไม่สามารถคาดการณ์ได้ ในส่วนของพรรคพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้งเต็มรูปแบบ