คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC)ของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน และเป็นการปรับขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา จาก 2.25%-2.50% ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ระดับ 3.00%-3.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธ (21 ก.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 เพื่อสกัดเงินเเฟ้อที่แตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด แถลงหลังการปรับขึ้นดอกเบี้ยล่าสุด ยอมรับว่า ไม่มีวิธีการที่ "ไร้ความเจ็บปวด" ในการเอาชนะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขณะนี้ ซึ่งอาจต้องแลกมาด้วยภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและตัวเลขว่างงานที่สูงขึ้น
ขณะที่ เฟด ส่งสัญญาณ ว่า จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1.25% ในการประชุมที่เหลืออีก 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของ เฟด อยู่ที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 โดยคาดการณ์ ดอกเบี้ยสิ้นปีนี้อยู่ที่ 4.25%-4.50% และสิ้นปีหน้า อยู่ที่ 4.50%-4.75%
เจ้าหน้าที่ เฟด คาดว่า ดอกเบี้ยนโยบาย จะไม่มีการปรับลดลงไปถึงปี 2567 หลังจากนั้นในปี 2568 คาดว่า เฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง และ 4 เพื่อทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวลงสู่ระดับ 2.9%
เฟด คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะแตะระดับ 4.5% ในสิ้นปีนี้ และจะชะลอตัวสู่ระดับ 3.1%, 2.3% และ 2.1% ในปี 2566, 2567 และ 2568 ตามลำดับ
ส่วนอัตราว่างงานจะแตะระดับ 3.8% ในสิ้นปีนี้ และเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.4% ทั้งในปี 2566 และ 2567 ก่อนที่จะชะลอตัวลงสู่ระดับ 4.3% ในปี 2568 ขณะที่อัตราว่างงานระยะยาวอยู่ที่ 4.0%
นักเศรษฐศาสตร์ ระบุว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ครั้งนี้ ถือเป็นวงจรการคุมเข้มทางการเงินครั้งรุนแรงที่สุดของ เฟด นับตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 80 ช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อ (Stagflation)สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
โดยผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ คาดว่า เฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนแตะระดับ 4.26% ในเดือน มี.ค.2566 และ จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวเป็นเวลาเกือบ 11 เดือน และผลจาก ใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากเกินไป จะทำให้ เศรษฐกิจสหรัฐ จะเผชิญภาวะถดถอยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ มองว่า เฟด ต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมาย 2% โดยคาดว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เมื่อเทียบรายปี จะอยู่ที่ระดับ 6.8% ในช่วงสิ้นปี 2565 และอยู่ที่ 3.6% ช่วงสิ้นปี 2566 ก่อนที่จะปรับตัวลงสู่เป้าหมาย 2% ของเฟดในปี 2567