svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

กรมการแพทย์ โต้งานวิจัยฯ ย้ำ "ฟาวิพิราเวียร์" ลดความรุนแรง "โควิด" ได้

12 กันยายน 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

กรมการแพทย์ ตอบโต้ผลงานวิจัย "ฟาวิพิราเวียร์" รักษาโควิดไม่ได้มีช่องโหว่ ยืนยันการรักษาในประเทศไทย พบ "ฟาวิพิราเวียร์" ทำให้ผู้ป่วยโควิด ที่มีความเสี่ยงต่ำ ป่วยไม่รุนแรง มีอาการดีขึ้นได้เร็วขึ้น

12 กันยายน 2565 จากกรณี "ฟาวิพิราเวียร์" ถูกหลายฝ่ายออกมาระบุว่า รักษาโควิดไม่ได้ พร้อมขอรัฐเปิดกว้างให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ล่าสุด กรมการแพทย์ โดยนพ.สมศักดิ์ อรรคฆศิลป์ เปิดข้อมูลงานวิจัย ยืนยัน "ฟาวิพิราเวียร์" สามารถลดอาการรุนแรงจาก "โควิด" ได้

ฟาวิพิราเวียร์

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เนื่องจากมีประเด็นการนำเสนอข้อมูลว่าการใช้ยาฟาร์วิพิราเวียร์ไม่ได้ผลในการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยอ้างอิงจากการศึกษาวิจัยแบบหลายสถาบัน (รายละเอียดเพิ่มเติม : https://academic.oup.com/cid/advance-article/doi/10.1093/cid/ciac712/6692456?login=false) จำนวน 40 แห่งในทวีปอเมริกาเหนือ จำนวน 3 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และบราซิล มีอาสาสมัครในโครงการวิจัยจำนวน 1,187 คน (เป็นผู้ป่วยอ้วนร้อยละ 70 ผู้ป่วยสูงอายุร้อยละ 15) ซึ่งเป็นการใช้ยาฟาร์วิพิราเวียร์เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม


อย่างไรก็ตามการศึกษานี้ได้ใช้ยาฟาร์วิพิราเวียร์ โดยมิได้มีการปรับขนาดยาตามน้ำหนักตัวผู้ป่วย ผู้ป่วยเกือบทุกรายได้รับยาประมาณวันที่ 3 ภายหลังเริ่มมีอาการ ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยเคยได้รับวัคซีนหรือเคยป่วยเป็นโควิด 19 มาก่อน รวมถึงการประเมินความรุนแรงของผู้ป่วยด้วยเกณฑ์ที่แตกต่างกับที่ใช้ในประเทศไทย 

 

นอกจากนี้ การรายงานผลลัพธ์การรักษาทำโดยผู้ป่วยเป็นผู้รายงานเองผ่านระบบโทรศัพท์ ซึ่งมิได้เป็นการวัดด้วยเครื่องมือเฉพาะโดยบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งอาจส่งผลต่อการวัดประสิทธิผลของยาฟาร์วิพิราเวียร์ได้

ฟาวิพิราเวียร์ ได้รับการรับรองในการใช้รักษาโควิด จากกระทรวงสาธารณสุข

ในส่วนของประเทศไทย ได้มีการศึกษาเปรียบเทียบการใช้ ยาฟาร์วิพิราเวียร์ เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/22221751.2022.2117092) โดยมีผู้ป่วยโควิด ทั้งหมดจำนวน 93 คนในโรงพยาบาล 3 แห่ง (ทุกคนอายุน้อยกว่า 60 ปี ไม่มีโรคประจำตัว เป็นผู้ป่วยที่อ้วนร้อยละ 25) 

 

ผู้ป่วยครึ่งหนึ่ง ได้รับ ฟาร์วิพิราเวียร์ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มมีอาการโดยไม่มีผู้ที่เคยเป็นโควิด 19 และ/หรือได้รับวัคซีนมาก่อน ทุกคนมีอาการเล็กน้อยหรือปานกลาง ไม่มีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงในโครงการวิจัย


ผู้ป่วยได้รับการรักษาและติดตามอาการในโรงพยาบาล รวมถึงการวัดประสิทธิผลของยาฟาร์วิพิราเวียร์โดยด้วยระบบ NEWS (ประกอบไปด้วยอัตราการหายใจ ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด การให้ออกซิเจน อุณหภูมิ ความดันซิสโตลิก อัตราการเต้นของหัวใจ ระดับความรู้สึกตัว) ซึ่งต้องประเมินโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ไม่ใช้การประเมินตามความรู้สึกของผู้ป่วยเป็นเกณฑ์วัด


ผลที่ได้รับพบว่า ยาฟาร์วิพิราเวียร์ทำให้อาการรุนแรงของการประเมินด้วย NEWS ของผู้ป่วยโควิด 19 ดีขึ้นได้เร็วกว่ากลุ่มควบคุมอย่างชัดเจน (ครึ่งหนึ่งดีขึ้นใน 2 วันเมื่อได้รับยา เปรียบเทียบกับ 14 วันในกลุ่มควบคุม)

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์

ผลการศึกษาทั้งสองยังพบว่า ยาฟาร์วิพิราเวียร์ มิได้ช่วยลดปริมาณไวรัสลง หรือทำให้ไวรัสหายไปได้เร็วขึ้นแต่อย่างใด และไม่สามารถเห็นประสิทธิผลเมื่อประเมินอาการจากความรู้สึกผู้ป่วย เช่น อาการอ่อนเพลีย ไอ รวมถึงพบว่ายาฟาร์วิพิราเวียร์มีความปลอดภัยแม้จะพบระดับกรดยูริคในเลือดสูงขึ้นแบบไม่มีอาการก็ตาม

 

นายแพทย์สมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เราไม่สามารถเปรียบเทียบประสิทธิผลของยาฟาร์วิพิราเวียร์จากสองการศึกษานี้ได้ เนื่องจากรายละเอียดและวิธีการศึกษามีความแตกต่างกัน 


การศึกษาในทวีปอเมริกาแสดงให้เห็นว่าการเริ่มให้ยาช้าในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง มีอาการรุนแรง และมีน้ำหนักมากโดยไม่มีการปรับขนาดยา อาจมีผลทำให้การรักษาไม่ได้ผลหรือเป็นเพราะการประเมินผลซึ่งส่วนหนึ่งได้จากความรู้สึกอาการของผู้ป่วย อาจทำให้ผลการศึกษาไม่ตรงกัน

ฟาวิพิราเวียร์

อย่างไรก็ตามข้อมูลจากการศึกษาในประเทศไทยพบว่า ยาฟาร์วิพิราเวียร์ทำให้ผู้ป่วยโควิด ที่มีความเสี่ยงต่ำที่ไม่รุนแรงมีอาการดีขึ้นได้เร็วขึ้น แต่การศึกษาในประเทศไทยไม่มีข้อมูลประสิทธิผลของยาฟาร์วิพิราเวียร์ ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปอดบวมหรือลดการเสียชีวิต

 

" กรมการแพทย์ ยินดีรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้ ความรู้เชิงประจักษ์ที่มีมากขึ้นจากการศึกษาจะช่วยในการปรับแนวทางการรักษาให้เหมาะสมเพื่อให้ผู้ป่วยโควิด มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป "  นพ.สมศักดิ์ ระบุในตอนท้าย

ฟาวิพิราเวียร์ ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย. เมื่อสิงหาคม 2564
 

logoline