เมื่อวันที่ 5 ก.ย.65 "นายกรณ์ จาติกวณิช " อดีตหัวหน้าพรรคกล้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจ กรณ์ จาติกวณิช ถึงกรณีที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา ได้ยื่นเรื่องต่อกกต. ให้ตรวจสอบ กรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช ไปจับมือกับนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา เข้าข่ายการครอบงำพรรคชาติพัฒนาหรือไม่
โดยนายกรณ์ โพสต์ข้อความไว้ดังนี้ ต้องขอบคุณพี่ศรีฯ จากใจเลยครับที่ช่วยคลายปมให้คนเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
และทำไมผมถึงต้องเคลื่อนไหวตามจังหวะและขั้นตอนด้วยความจำเป็นเร่งด่วนตามที่ปรากฎ ทั้งหมดก็เพราะข้อจำกัดทางกฎหมายที่ผมยอมรับว่า.. ทำให้ผู้สนับสนุนต้องสับสนไปด้วย ผมต้องขอโทษทุกคนในจุดนี้ด้วยนะครับ
แต่ขอให้เชื่อมั่นว่า เมื่อขั้นตอนทางกฎหมายทุกอย่างลุล่วงแล้ว ทุกคนจะได้เห็นในพลังของความแข็งแกร่งในการทำงานการเมืองสร้างสรรค์ มุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาพัฒนาชาติในด้านเศรษฐกิจที่เข้มข้นกว่าเดิมแน่นอน
วันนี้พี่ศรีได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกกต.ว่า ผมอาจจะมีพฤติกรรมพยายามครอบงำการทำงานของพรรคชาติพัฒนาในฐานะสมาชิกพรรคกล้า ในวันที่ผมแถลงร่วมกับคุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภนั้น
ผมขอชี้แจงสั้นๆ ว่า.. ผมได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคกล้า และได้เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคชาติพัฒนาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมตระหนักในประเด็นข้อกฎหมายดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องทุกประการครับ
ผมมั่นใจว่า ผมจะสามารถลงมือทำงานรับใช้บ้านเมือง และบริหารงานเศรษฐกิจช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
อดใจรอไม่นานครับ
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 65 เวลา 13.00 น. ที่สำนักงาน กกต.ศูนย์ราชการฯ อาคาร B "นายศรีสุวรรณ จรรยา" เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อขอให้ไต่สวน สอบสวนนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา และนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ที่ร่วมกันแถลงข่าวจับมือทางการเมือง (อันมิใช่การการแถลงว่าเป็นการรวมพรรค) โดยนายกรณ์จะเข้ามาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคชาติพัฒนา และอาจเป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาในอนาคต ทั้งๆที่ตามกฎหมายนายกรณ์ ยังมีสถานะเป็นสมาชิกและหัวหน้าพรรคกล้าอยู่
คำร้องของนายศรีสุวรรณ ระบุว่า การที่ประธานพรรคชาติพัฒนา ยินยอมให้นายกรณ์ ซึ่งยังมิได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกและหัวหน้าพรรคกล้าก่อนนั้น ชี้ให้เห็นว่า พรรคชาติพัฒนาอาจเข้าข่ายยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้ พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม อันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตาม ม.28 แห่ง พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่
ทั้งนี้ หาก กกต.วินิจฉัยว่ามีความผิดจริง ซึ่งตาม พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ม.92(3) บัญญัติไว้ชัดเจนว่าการกระทำเช่นนี้ อาจเป็นหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองดังกล่าวกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตาม ม.28 จะเป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะต้องดำเนินการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวต่อไปได้
ในขณะเดียวกัน การที่นายกรณ์ จาติกวณิช แถลงยืนยันต่อหน้าสื่อมวลชนว่า ตนมาแถลงข่าวเกี่ยวกับการดําเนินกิจกรรมของพรรคของพรรคชาติพัฒนา เป็นการมาในฐานะส่วนตัว นั้น จึงอาจเป็นการชี้ได้ว่า นายกรณ์ จาติกวณิช ยังมิใช่สมาชิกพรรคชาติพัฒนา แต่กลับมาร่วมกระทําการ อันมีลักษณะเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ
ทั้งนี้ ไม่ว่า โดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม อันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตาม ม.29 แห่ง พรป. ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ซึ่งอาจมีความผิดตาม ม.108 ซึ่งต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5-10 ปี และปรับตั้งแต่ 1 – 2 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้นได้
ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจำต้องนำความมาร้อง กกต.เพื่อให้วินิจฉัยกรณีดังกล่าว เพื่อเป็นบรรทัดฐานทางการเมืองต่อไป นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด