31 สิงหาคม 2565 นายมิคาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำคนสุดท้ายของสหภาพโซเวียต ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว ที่โรงพยาบาลเซ็นทรัล คลีนิคัล ในกรุงมอสโคว์ ขณะมีวัย 91 ปี เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้ช่วยยุติสงครามเย็นและเป็นผู้ปลดม่านเหล็กที่แบ่งแยกยุโรปมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ไม่อาจปกป้องการล่มสลายของสหภาพโซเวียตได้
นับตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของโซเวียต เมื่อปี 2528 เขาก็มุ่งมั่นที่จะปฏิรูประบบ ซึ่งชาวรัสเซียจำนวนมากไม่ให้อภัยเขา สำหรับความวุ่นวายหลังการปฏิรูป
กอร์บาชอฟ อยู่ที่โรงพยาบาล หลังป่วยด้วยโรคไตมายาวนาน และต้องฟอกไต ทั้งยังต้องกักตัวในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของกอร์บาชอฟ ไปยังครอบครัวและมิตรสหายของเขาด้วย
สำนักข่าวทาสส์ (Tass) สื่อใหญ่ของรัสเซียรายงานว่า ร่างของกอร์บาชอฟ จะถูกฝังที่สุสานโนโวเดวิชี ในกรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย เคียงข้างกับภรรยาผู้ล่วงลับของเขา
มิคาอิล กอร์บาชอฟ ได้รับการจดจำในฐานะผู้นำในหลากหลายมิติ เขาผู้มีเอกลักษณ์ปานสีแดงบนศีรษะลักษณะคล้ายแผนที่ คือผู้ที่นำพาการปฏิรูปมาสู่รัสเซียซึ่งในขณะนั้นยังคงเป็น “สหภาพโซเวียต”
แม้ว่า มิคาอิล กอร์บาชอฟ จะดำรงตำแหน่งอดีตผู้นำสหภาพโซเวียตคนสุดท้ายในเวลาไม่ถึง 7 ปี แต่เขาก็ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงมากมายซึ่งเป็น “การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในตอนนั้น และนำไปสู่ "การล่มสลายของสหภาพโซเวียต" ซึ่งหมายถึงการปลดปล่อยประเทศในยุโรปตะวันออกหลายประเทศจากการครอบงำของรัสเซีย และการสิ้นสุดสงครามเย็นระหว่างสหภาพโซเวียตและชาติตะวันตก
กอร์บาชอฟ เคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพี สื่อใหญ่ของสหรัฐว่า กว่า 25 ปีหลังจากล่มสลายของสหภาพโซเวียต เขาไม่คิดจะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการผนวกรวมสหภาพโซเวียตไว้ด้วยกัน เพราะเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายโกลาหลอย่างมาก โดยในตอนนั้นเขาเปิดเผยว่า “ประเทศ (สหภาพโซเวียต) ของเราเต็มไปด้วยอาวุธ และมันจะผลักดันให้ประเทศต้องเข้าสู่สงครามกลางเมืองอย่างแน่นอน”
ในช่วงปลายวาระการดำรงตำแหน่งผู้นำโซเวียตของ มิคาอิล กอร์บาชอฟ แม้จะดูไร้ซึ่งอำนาจ แต่ก็มีบทบาทใหญ่ขึ้นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 เมื่อเทียบกับนักการเมืองในยุคเดียวกัน โดยกอร์บาชอฟ เปิดเผยต่อสื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อปี 1992 หลังก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำอดีตสหภาพโซเวียตว่า
“ผมมองเห็นตัวเองในฐานะชายที่เริ่มต้นการปฏิรูปที่จำเป็นต่อประเทศชาติ ต่อยุโรป และต่อโลก”
ภาพข่าว : สำนักข่าวรอยเตอร์