คนอเมริกันข้ามไปแคนาดาเพื่อฉีดวัคซีนฝีดาษลิง

ข้อมูลจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC ระบุว่า จำนวนผู้ป่วยฝีดาษลิงในสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 11,177 คนเมื่อวันที่ 12 ส.ค. ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 30% ของจำนวนผู้ป่วยทั้งโลกที่ 31,800 คนในวันเดียวกัน

แม้รัฐบาลประกาศเมื่อต้นเดือนนี้ให้โรคฝีดาษลิงเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขภายในประเทศ แต่ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดล่าช้า และไม่สามารถจัดหาวัคซีนป้องกันได้ตามความต้องการในขณะที่จำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น

และรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขประเมินว่า สหรัฐฯ จำเป็นต้องมีวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษหรือ ฝีดาษในคน ที่สามารถใช้ป้องกันฝีดาษลิงได้ราว 3.5 ล้านโดส แต่รัฐบาลเพิ่งจัดหาได้เพียง 1.1 ล้านโดส และครึ่งหนึ่งจะได้รับมอบในเดือน ต.ค. ส่วนวัคซีนอีก 5.5 ล้านโดสที่รัฐบาลสั่งไว้จะได้รับในปีหน้า  

เมื่อชาวอเมริกันหลายคนไม่สามารถฉีดวัคซีนภายในประเทศได้ จึงเดินทางข้ามพรมแดนไปยังเมืองมอนทรีออลของแคนาดาเพื่อฉีดวัคซีน

เมืองมอนทรีออล ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนแคนาดาและสหรัฐฯ เพียง 70 กม. เริ่มฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษลิงช่วงกลางเดือน พ.ค. และฉีดวัคซีนไปแล้ว 18,500 โดส ซึ่ง 13% ของผู้ฉีดวัคซีนเป็นชาวต่างชาติ

และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พญ. เทเรซา แทม หัวหน้าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของแคนาดา ยืนยันว่า แคนาดายังไม่จำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจากการระบาดของฝีดาษลิง

จำนวนผู้ป่วยสะสมในแคนาดาจนถึงวันที่ 10 ส.ค. อยู่ที่ 1,059 คน โดยรัฐออนแทริโอ มีผู้ป่วยมากที่สุด 511 คน และรัฐบาลได้จัดสรรวัคซีนของบริษัทบาวาเรียน นอร์ดิก มากกว่า 99,000 โดสให้กับหลายรัฐและดินแดน และมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วกว่า 50,000 คนจนถึงวันที่ 11 ส.ค.