svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

3 ปัจจัยเสี่ยงฉุดภาคการ 'ส่งออก' ครึ่งปีหลัง

18 กรกฎาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

การส่งออกในช่วง 5 เดือน แรกของปีนี้ ขยายตัว 12.9% หากที่เหลืออีก 7 เดือนไม่โตจะทำให้ค่าเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 5.6% แต่ยังมั่นใจว่า ครึ่งปียังขยายตัวและทำให้ทั้งปีขยายตัว 8% แม้จะมีการประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังชะลอตัว

ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือสรท. ชัยชาญ เจริญสุข ระบุ ปัจจัยเสี่ยงของการส่งออกในครึ่งปีหลังที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมือมี 3 ปัจจัย คือ 1.อัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนถึงแม้จะมีแนวโน้มอ่อนค่าลงแต่อยู่ในทิศทางผันผวน 2.ปัญหาการขาดสภาพคล่องเพราะวัตถุดิบราคาแพงมากขึ้น 3.ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ต้องติดตามว่ามีความรุนแรงระดับใด

3 ปัจจัยเสี่ยงฉุดภาคการ 'ส่งออก' ครึ่งปีหลัง

สำหรับตลาดสำคัญของไทยทั้งสหรัฐและยุโรปที่มองว่า ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะชะลอตัวนั้น ขณะยอดคำสั่งซื้อมีแล้วที่ส่งมอบไตรมาส 3 เจรจาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งยังเห็นภาพขยายตัว แต่จะเริ่มเห็นผลกระทบต่อคำสั่งซื้อสำหรับส่งมอบไตรมาส 4 ปี 2565 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งผู้ส่งออกเตรียมรับมือเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาก่อนหน้านี้แล้วหลังจากการที่จีนล็อคดาวน์ที่ส่งผลระทบต่อตลาดจีน

 

“การส่งออกในช่วง 5 เดือน แรกของปีนี้ ขยายตัว 12.9% หากที่เหลืออีก 7 เดือนไม่โตจะทำให้ค่าเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 5.6% แต่ยังมั่นใจว่า ครึ่งปียังขยายตัวและทำให้ทั้งปีขยายตัว 8% แม้จะมีการประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังชะลอตัวและมีปัญหาเงินเฟ้อสูงขึ้น แต่ผู้ส่งออกมั่นใจว่าสินค้าไทยหลายกลุ่มที่ยังเป็นที่ต้องการ ซึ่งในเรื่องผลกระทบปีนี้เป็นแค่สนามซ้อมแต่ปีหน้าเจอของจริง“

3 ปัจจัยเสี่ยงฉุดภาคการ 'ส่งออก' ครึ่งปีหลัง

สำหรับกลุ่มสินค้าที่น่ากังวลในช่วงครึ่งปีหลัง คือ สินค้ายานยนต์ โดยในช่วง 5 เดือน แรกของปี 2565 มูลค่าการส่งออกติดลบ 11.2% ซึ่งอาจทำให้มูลค่าการส่งออกรวมปีนี้ไม่ขยายตัว ซึ่งผลกระทบหลักมาจากปัญหาขาดแคลนชิปที่สถานการณ์ดีขึ้นในปลายปี 2564 แต่มาเจอปัญหาสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้ขาดแคลนวัตถุดิบผลิตชิปมากขึ้น เพราะวัตถุกอบผลิตชิปบางรายการอยู่ในรัสเซีย จึงทำให้สถานการณ์สงครามมาซ้ำเติมปัญหาเดิมที่มีอยู่

3 ปัจจัยเสี่ยงฉุดภาคการ 'ส่งออก' ครึ่งปีหลัง

“ปัญหานี้จะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการส่งออกสินค้าอื่น เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ พัดลมไฟฟ้า ซึ่งคาดหวังว่าในช่วงปลายปีสถานการณ์ชิปจะดีขึ้น”

 

นอกจากนี้ภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาง โดยเฉพาะยางล้อรถยนต์ที่การส่งออกในช่วง 5 เดือน แรกของปีนี้ ติดลบไปแล้ว 4.3% ซึ่งที่ผ่านมาจีนใช้มาตรการซีโร่โควิดปิดบางเมือง แต่ปัจจุบันจีนเริ่มผ่อนคลายและมีมาตรการสนับสนุนการซื้อรถยนต์ที่อาจทำให้ความต้องการยางล้อรถยนต์เพิ่มขึ้น

 

ในขณะที่การส่งออกยางพาราที่ชะลอตัวลง ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงระยะสั้นที่ลดลงตามความต้องการผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งการที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นมีผลต่อราคายางสังเคราะห์ จึงทำให้ยางธรรมชาติมีความยังจำเป็น โดยเท่าที่หารือกับหากตลาดยานยนต์ปรับตัวดีขึ้นจะทำให้ความต้องการผลิตยางและยางล้อรถยนต์มีความต้องการเพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอาหารมั่นใจว่าในช่วงครึ่งปีหลังยังเติบโต โดยมันสำปะหลังถือว่าดีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมันสำปะหลังนำไปผลิตพืชพลังน้ำมันทดแทนพลังงานได้ เช่น เอทานอล ซึ่งราคาดีมากและมีความต้องการสูง 

ขณะที่การส่งออกน้ำตาลขยายตัว 100% ซึ่งถือว่าปีนี้เป็นปีทองของอุตสาหกรรมน้ำตาลไทยที่มีความต้องการสูง ส่วนข้าวยังมีความต้องการสูง โดยปี 2565 น่าจะส่งออกได้ถึง 7.0-7.5 ล้านตัน เนื่องจากประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางจีนและเอเชีย ซึ่งมีการบริโภคข้าวสูงจึงมีความต้องการในการนำเข้าข้าวจากไทย

3 ปัจจัยเสี่ยงฉุดภาคการ 'ส่งออก' ครึ่งปีหลัง

”ภาพรวมสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารโตทุกตัว คาดว่าทั้งปีจะขยายตัว 12% เพราะแค่ 5 เดือนแรก โต 15.5% ที่สำคัญมีปัจจัยหนุนเสริมจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงถึง 35-36 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเอื้อต่อการส่งออกสินค้ากลุ่มเกษตรและอาหาร”

 

ในขณะที่การนำเข้าก็ขยายตัวต่อเนื่องราคาน้ำมันจะสูงขึ้นสะท้อนให้เห็นว่ามีการนำเข้าวัตถุดิบเข้ามาผลิตสินค้าอย่างต่อเนื่อง เมื่อไล่เลียงถึงสินค้าก็มี 2 มิติ โดยไทยมีจุดเด่นจากที่มีสินค้าหลากหลายและผู้ประกอบการอยู่กันแบบห่วงโซ่อุปทานและซัพพลายเชน

logoline