หลังจาก “นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผุดไอเดียฉายหนังกลางแปลง ในงานเทศกาล "กรุงเทพฯ กลางแปลง" ฉายหนังทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ โดยความร่วมมือระหว่าง กรุงเทพมหานคร สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย หอภาพยนตร์ และชมรมหนังกลางแปลง ได้จัดขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ปลอบขวัญคนกรุง และส่งเสริมอุตสาหกรรมหนังไทย โดยจะเริ่มฉายตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ประเดิมจอวันนี้ (7 ก.ค.65) เป็นแรกด้วยเรื่อง อันธพาลครองเมือง 2499 ซึ่ง ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี ดารานำให้เรื่อง จะมาร่วมชมด้วย
ย้อนทำความรู้จัก “หนังกลางแปลง” มหรสพกลางแจ้งยามค่ำคืน ที่เป็นศูนย์รวมสิ่งต่างๆ งานบุญ งานวัด ประเพณีต่างๆ ตลอดจนการพบปะสังสรรค์
ก่อนเข้าสู่เรื่องราวของ “หนังกลางแปลง” ต้องเริ่มด้วยการเล่าถึงภาพยนตร์ซึ่งหากนับจนถึงปัจจุบันเข้ามาในประเทศไทย แล้วกว่า 125 ปี โดยภาพยนต์เริ่มเข้ามาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยคณะละครเร่ชาวฝรั่งนามว่า เอส จี มาร์คอฟสกี (S.G. Marchovsky) ได้นำภาพยนตร์ฝรั่งเข้ามาจัดฉายสู่สายตาสาธารณะชนครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2440 ณ โรงละครหม่อมเจ้าอลังการนับตั้งแต่นั้นมาภาพยนตร์ได้กลายเป็นมหรสพใหม่ ด้วยความนิยมในการรับชมภาพยนตร์ที่เพิ่มมากขึ้นผนวกกับข้อจำกัดในเรื่องการฉายภาพยนตร์ที่ต้องฉายในสถานที่ปิดทำให้คณะหนังเร่เริ่มปรับและดัดแปลงรูปแบบการฉายหนังเพื่อให้คนดูเข้าถึงได้มากขึ้น จึงนำมาสู่การฉายหนังกลางแปลงมหรสพบันเทิงยามค่ำคืนของชาวสยาม
หนังกลางแปลงเริ่มเฟื่องฟูขึ้น ในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตกลายเป็นประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลก แต่ด้วยชุดอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน โดยสหรัฐอเมริกายึดนโยบายเสรีนิยมประชาธิปไตยซึ่งตรงข้ามกับสหภาพโซเวียตที่ยึดอุดมการณ์สังคมนิยม แต่ละค่ายต่างพยายามแผ่ขยายอิทธิพลของตนเข้าสู่ประเทศต่างๆ โดยให้ความช่วยเหลือและพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและการทหาร ในช่วงระยะเวลานี้สหรัฐอเมริกามุ่งหวังให้ไทยเป็น “ป้อมปราการต่อต้านคอมมิวนิสต์” จึงให้ความช่วยเหลือทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการทหาร
ส่งผลให้หนังกลางแปลงกลายเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่ภาครัฐและภาคเอกชนต่างใช้เพื่อประชาสัมพันธ์ตนเอง โดยจะเห็นได้จาก หน่วยเคลื่อนที่ประชาสัมพันธ์ที่โฆษณาข่าวสารจากรัฐและหนังขายยาที่โฆษณาและขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทตามหมู่บ้านและจังหวัดต่างๆ เป็นต้น
สำหรับชื่อเรียกของหนังกลางแปลงนั้นมีชื่อเรียกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “หนังล้อมผ้า/รั้ว หนังเร่ หนังขายยา หน่วยประชาสัมพันธ์” ในแต่ละชื่อที่ใช้เรียกหนังกลางแปลงนั้นต่างแสดงลักษณะเฉพาะ เช่น ลักษณะเด่นของหนังล้อมผ้าคือการฉายหนังโดยล้อมผ้าหรือสังกะสีรอบๆ จอหนังและเก็บค่าเข้าชมจากคนดู หรือลักษณะเด่นของหนังขายยา คือ การฉายหนังให้ชมฟรีสลับกับการขายสินค้า เป็นต้น
แม้จะมีหลากหลายชื่อเรียก แต่ก็มีอยู่ 3 สิ่งที่เหมือนกันคือ หนึ่ง หนังกลางแปลงที่ต้องฉายในเวลากลางคืน สอง อุปกรณ์ที่ใช้ในการฉายหนังได้แก่ จอผ้าสีขาวขนาดยักษ์ ลำโพงกระจายเสียง และเครื่องฉายหนัง และสาม หนังและนักพากย์หนังอันเป็นของคู่กันกับหนังกลางแปลง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหนังกลางแปลงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแม้บางสิ่งบางอย่างจะเริ่มหายไปอย่างการพากย์สดหรือการฉายหนังด้วยเครื่องฉายหนัง 16 มม. หรือ 35 มม.
กระทั่งยุคหลังพ.ศ. 2537 เป็นต้นมา ถือเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เนื่องจากมีแผ่น วีซีดี ดีวีดี โรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ หรือแม้แต่การดูหนังผ่านช่องทางออนไลน์อย่างที่หลายคนทำอยู่ในทุกวันนี้ ทำให้มีการว่าจ้างหนังกลางแปลงลดน้อยลงเรื่อย ๆ จนปัจจุบันหนังกลางแปลง มหรสพบันเทิงยามค่ำคืนหรือมหรสพแห่งท้องทุ่งค่อยๆ หายไป เหลือเพียงไม่กี่หน่วยเท่านั้นที่ยังคงจัดฉายอยู่ กลายเป็นเพียงมหรสพเพื่อใช้ในการแก้บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือฉายตามงานวัด
สาเหตุหลักมาจากความเจริญทางเทคโนโลยี การเกิดขึ้นของโรงภาพยนตร์ มือถือ แท็บเล็ท ฯลฯ ที่ทำให้คนสมัยใหม่ไม่มีความจำเป็นต้องออกไปนั่งตบยุงดูหนังกลางท้องไร่ท้องนา ซึ่งก็ดูเหมือนจะโดนตึกรามบ้านช่อง หรือความเป็นเมืองกลืนเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งล่าสุด “นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่า ฯ กทม. ได้ปลุกหนังกลางแปลงมาให้คนกรุงได้ชมอีกครั้ง
สำหรับโปรแกรมการฉายหนังกลางแปลง เริ่มเวลา 19.00 น. ดังนี้
- ลานคนเมือง
- True Digital Park เขตพระโขนง
- ศูนย์เยาวชนคลองเตย เขตคลองเตย
- สวนรถไฟ เขตจตุจักร
- สวนเบญจกิติ เขตคลองเตย
- ตลาดบางแคภิรมย์ เขตบางแค
- Block I สยามสแควร์
- สวน 60 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เขตลาดกระบัง
- สวนครูองุ่น เขตวัฒนา
- มศว. ประสานมิตร เขตวัฒนา
ขอบคุณภาพข้อมูล silpa-mag