svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

บีทีเอส เผย ขอ 1 เดือนปรับราคารถไฟฟ้า ชี้ กทม. นำค่าโดยสารมาโปะหนี้คงไม่พอ

28 มิถุนายน 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

บีทีเอส เผย ขอระยะเวลา 1 เดือนอัปเดตซอฟแวร์และประชาสัมพันธ์ราคารถไฟฟ้าสายสีเขียว ระบุ กทม.นำค่าโดยสารมาโปะหนี้คงไม่พอ

28 มิถุนายน 2565 ภายหลังจากนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้ระบุว่า จะมีการหารือ บีทีเอส โดยจะให้จัดเก็บราคารถไฟฟ้าตลอดสายไม่เกิน 59 บาท นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า การเริ่มเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายแบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-สะพานใหม่- คูคต ในวันที่ 1 ก.ค.2565 บีทีเอสในฐานะผู้รับจ้างเดินรถ ประเมินว่าในกรอบกำหนดดังกล่าวอาจเร็วเกินไป ไม่เพียงพอต่อการติดตั้งระบบซอฟต์แวร์และสิ่งสำคัญคือการประชาสัมพันธ์อัตราราคาใหม่ให้ผู้โดยสารทราบ

บีทีเอส เผย ขอ 1 เดือนปรับราคารถไฟฟ้า ชี้ กทม. นำค่าโดยสารมาโปะหนี้คงไม่พอ

ตามขั้นตอนของสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักที่บีทีเอสเป็นคู่สัญญานั้น หากจะปรับขึ้นราคาค่าโดยสารต้องประกาศประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารทราบเป็นระยะเวลา 1 เดือน แต่ในส่วนของกรุงเทพมหานคร นั้น บีทีเอสไม่ทราบในรายละเอียดว่าจะต้องประกาศล่วงหน้าหรือไม่ แต่ในทางปฏิบัติประเมินว่าอาจต้องใช้เวลา 1 เดือน เพราะนอกจากต้องประชาสัมพันธ์อัตราค่าโดยสารใหม่แล้ว บีทีเอส ต้องดำเนินการติดตั้งป้ายราคาใหม่ตามสถานีให้บริการ และปรับปรุงระบบซอฟต์แวร์เพื่ออ่านข้อมูลบัตรโดยสารและคิดราคาค่าโดยสาร

ส่วนกรณีที่กรุงเทพมหานครมีแนวคิด จะนำรายได้จากการจัดเก็บค่าโดยสารช่วงส่วนต่อขยาย เพื่อมาใช้หนี้ที่มีอยู่กับบีทีเอสนั้น ส่วนตัวประเมินว่าหากกรุงเทพมหานครเก็บค่าโดยสารอัตราราคา 15 บาท ตามที่ปรากฏในข่าวนั้น อาจไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการและนำเงินส่วนที่เหลือเพื่อมาจ่ายหนี้คงค้าง เพราะเส้นทางส่วนต่อขยายมีระยะทางค่อนข้างไกล ใช้ต้นทุนจำนวนมากหากเทียบกับอัตราราคาที่จะจัดเก็บ แต่ทั้งนี้ก็อยู่ที่นโยบายของกรุงเทพมหานคร เพราะบีทีเอสเป็นเพียงเอกชนผู้รับจ้างเดินรถและเก็บรายได้นำส่งเท่านั้น

บีทีเอส เผย ขอ 1 เดือนปรับราคารถไฟฟ้า ชี้ กทม. นำค่าโดยสารมาโปะหนี้คงไม่พอ

นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ได้ประชุมคณะผู้บริหารบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ตามข้อแนะนำจากการประชุมร่วมกับทีดีอาร์ไอ เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2565 เรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งทีดีอาร์ไอ เสนอให้กรุงเทพมหานครเริ่มจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อขยายส่วนเหนือ ช่วงหมอชิต-คูคต และส่วนใต้ ช่วงสำโรง-สมุทรปราการ หลังจากเปิดนั่งฟรีมานานแล้ว เพื่อแบ่งเบาภาระหนี้สินค่าจ้างเดินรถที่ต้องจ่ายให้กับบีทีเอส

 

สำหรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย เก็บ 15 บาท เมื่อรวมกับเส้นทางหลักสัมปทานเก็บได้สูงสุดไม่เกิน 59 บาท

 

อัตราค่าโดยสาร 59 บาท เป็นตัวเลขที่คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานครเห็นว่ามีความเหมาะสม ประชาชนน่าจะรับได้ เพราะเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายไกลพอสมควร ช่วงหมอชิต-คูคต ระยะทาง 19 กิโลเมตร จำนวน 16 สถานี และช่วงแบริ่ง-เคหะสมุทรปราการ ระยะทาง 13 กิโลเมตร จำนวน 9 สถานี

ส่วนเรื่องระยะเวลาที่จะเริ่มเก็บอยากให้เร็วที่สุด ซึ่งเดิมตั้งเป้าเริ่มเก็บวันที่ 1 ก.ค.2565 แต่สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) แจ้งว่า อาจจะไม่ทัน เพราะต้องหารือกับ บีทีเอส เนื่องจากต้องมีการปรับแก้ไขระบบซอฟต์แวร์ การคำนวณค่าโดยสารส่วนต่อขยาย

 

รายงานข่าวระบุว่า สำหรับประเด็นการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น นายชัชชาติต้องการให้มีการแข่งขันราคาถึงจะมีความเป็นธรรม อยากให้ทำตามระบบ บังคับใช้ พ.ร.บ.การร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 ซึ่งจะมีการตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบ จึงต้องคิดให้รอบคอบหลังจากนี้จะทำหนังสือชี้แจงและเสนอ ครม.ซึ่งต้องพิจารณาให้รอบคอบ โดยเฉพาะประเด็นความจำเป็นที่ต้องต่อสัญญาสัมปทานให้เอกชน 30 ปี โดยไม่ผ่านการดำเนินการตาม พ.ร.บ.การร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562

 

สำหรับภาระหนี้สินระหว่างกรุงเทพมหานครกับบีทีเอส ปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 40,000 ล้านบาท ประกอบด้วย

 

1.ค่าจ้างเดินรถและบำรุงรักษา (08M) ส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 3,710 ล้านบาท ส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 13,343 ล้านบาท

 

2.ค่าติดตั้งงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) จำนวน 20,088 ล้านบาท โดยปัจจุบันบีทีเอสได้ทวงถามหนี้กับกรุงเทพมหานครมาแล้วหลายครั้ง และได้ยื่นฟ้องเพื่อให้กรุงเทพมหานคร จ่ายหนี้ในส่วนของค่าจ้างเดินรถที่ขณะนี้เป็นจำนวน 13,343 ล้านบาท

 

อีกทั้งกรุงเทพมหานครยังมีภาระหนี้ที่ต้องชำระอีก แบ่งเป็น ภาระเงินต้นงานโยธา รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย แบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ที่กรุงเทพมหานครรับโอนมาจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปี 2561 จำนวน 55,000 ล้านบาท และภาระดอกเบี้ยงานโยธา รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย แบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ปี 2564-2572 ประมาณ 10,000 ล้านบาท

logoline