วันที่ 23 มิถุนายน 2565 พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร โฆษก สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ( โฆษก สพฐ.ตร. ) กล่าวถึง คดีเกี่ยวกับการฉ้อโกงที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะร้านค้าออนไลน์ที่มักโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็น “ทองคำแท้” แต่ราคาถูกกว่าท้องตลาดนับพันบาท เป็นสิ่งล่อใจให้คนหลงเชื่อ ยอมจ่ายเงินไปหวังจะได้ของแท้ ราคาถูก แต่สิ่งที่ได้มากลับเป็น “ทองคำปลอม” ที่ไม่สามารถดูออกด้วยตาเปล่า
การเลือกซื้อทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณ ควรซื้อจากร้านขายทองที่น่าเชื่อถือ ระมัดระวังการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ เพราะง่ายต่อการถูกหลอกลวง และไม่ควรใส่ทองคำมูลค่าสูงแล้วเดินในสถานที่เปลี่ยว เพราะเป็นสิ่งล่อตาล่อใจให้มิจฉาชีพก่อเหตุได้ง่าย
ด้าน พ.ต.อ.หญิง วิภาวดี เกษมวรภูมิ นักวิทยาศาสตร์ ระดับสัญญาบัตร 4 ( นวท.(สบ4)) จาก กลุ่มงานตรวจทางเคมี ฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ( กคม.พฐก.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา การร้องขอจากพนักงานสอบสวนให้ตรวจพิสูจน์โลหะทองคำของกลาง ที่ร้านค้านำมาแจ้งความดำเนินคดี จะต้องนำมาตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะส่วนใหญ่ที่พบจะมีลักษณะเป็น ทองหุ้ม ทองผสม ทองชุบ พ่นสีทอง และแบบผสมผสาน ซึ่งมาตรฐานทองคำเมืองไทยจะอยู่ที่ 96.5% หมายความว่า มีทองคำบริสุทธิ์อยู่จริงๆ 96.5% ส่วนที่เหลืออีก 3.5% คือ ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น แร่เงินกับแร่ทองแดงหรือโลหะต่าง ๆ ทั้งนี้ การการตรวจพิสูจน์โลหะทองคำ จะมี 4 วิธีคือ 1.วิธีทางกายภาพ 2.วิธีทางเคมี 3.วิธีการเผา และ 4.วิเคราะห์โดยใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์
กรณีที่วัตถุพยานเป็นโลหะทองคำ การวิเคราะห์จะใช้วิธีทางกายภาพ โดยการเปิดพื้นผิวด้วยกระดาษทราย เนื้อโลหะชั้นในจะมองเห็นเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อนำไปทดสอบทางเคมีด้วยกรด เช่น กรดไนตริก รวมถึงการทำปฏิกิริยาทางเคมี เพื่อให้ทราบเป็นโลหะชนิดใด
ส่วนการนำไปทดสอบด้วยวิธีเผาไฟ ทองคำแท้จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งแตกต่างจากโลหะผสม ที่เมื่อนำไปเผาไฟจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที
หากนำไปวิเคราะห์หาชนิดของธาตุ โดยใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่อง x-ray fluorescence spectrometer (XRF) หลังจากนำวัตถุพยานเข้าเครื่อง XRF เพื่อวิเคราะห์หาชนิดของธาตุ จะพบว่าโลหะทองคำแท้เปอร์เซ็นต์ทองของทั้งบริเวณก่อนและหลังเปิดพื้นผิวจะต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น