พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ มาตรการลดค่าครองชีพรอบใหม่ เป็นเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - กันยายน 2565 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่เจอผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันแพง
“ครม.ได้มีมติเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบประชาชนและภาคธุรกิจเร่งด่วน โดยมีทั้งมาตรการใหม่ และมาตรการเดิมที่สิ้นสุดอายุลงในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2565”
สำหรับมาตการลดค่าครองชีพรอบใหม่ มีด้วยกันดังนี้
“ทั้งหมดนี้คือแนวทางที่รัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการ ส่วนการประเมินสถานการณ์นั้น เรื่องนี้คงไม่ได้สิ้นสุดในระยะเวลาอันใกล้ จึงขอให้ร่วมกันหารือเตรียมแผนรองรับสถานการณ์ หากมีการยืดเยื้อออกไป เพื่อดูว่าจะช่วยเหลืออย่างไรบ้าง ทั้งเรื่องพลังงาน และอาหาร ถือเป็นการวางแผนในระยะยาว”
โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะรวบรวมชุดมาตรการในการลดค่าครองชีพให้กับประชาชนในช่วงราคาน้ำมันแพงและอัตราเงินเฟ้อสูง เพื่อให้มีผลบังคับใช้แทนชุดมาตรการการให้ความช่วยเหลือประชาชนจากผลกระทบจากสงครามยูเครน และรัสเซียที่จะหมดอายุลงในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ ประกอบไปด้วยมาตรการเดิม ได้แก่
- ขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันคงค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงกลุ่มดีเซลหมุนเร็วไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2565-30 ก.ย.2565
- ขยายเวลาโครงการยกระดับความช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อีก 3 เดือน ในช่วง (เดือน ก.ค.-ก.ย.2565) โดยเพิ่มอีก 55 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน เป็น 100 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน
- ทยอยขึ้นราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น LPG 3 ครั้ง เป็นเวลา 3 เดือน (1 ก.ค. 2565-30 ก.ย. 2565) โดยมีกรอบเป้าหมายเพื่อให้ราคาขายปลีก LPG เดือน ก.ย.2565 อยู่ที่ 408 บาท/ถัง 15 กก. จากราคาในเดือน มิ.ย.2565 ที่ถังละ 363 บาท
- ขอความอนุเคราะห์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 15.59 บาท/กก. และคงราคาขายปลีกก๊าซ NGV โครงการเอ็นจีวีเพื่อลมหายใจเดียวกัน ให้กับผู้ประกอบอาชีพขับขี่รถแท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ 13.62 บาท/กก. ต่ออีก 3 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย.-15 ก.ย.2565)
ในส่วนมาตรการใหม่ คือ การดึงกำไรจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกก๊าซ เพื่อส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับใช้ดูแลราคาพลังงาน เป็นเวลา 3 เดือน เดือนละ 8,000 ล้านบาท รวม 24,000 ล้านบาท
ล่าสุด แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน ระบุว่า การเจรจากับกลุ่มผู้ประกอบการยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งเบื้องต้นมีความเป็นไปได้ว่าส่วนกลุ่มโรงกลั่นที่เป็นของคนไทยและมีรัฐบาลถือหุ้นทางอ้อม อย่างบมจ. ไทยออยล์ หรือ TOP ,บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC ,บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น หรือ BCP และบมจ. ไออาร์พีซี หรือ IRPC คงให้ความร่วมมือ แต่จำนวนเงินที่ช่วยเหลืออาจไม่ได้สูงเท่ากับที่มีข่าวออกมา คาดว่าจะมีการเจรจาต่อรองกันใหม่ ขณะที่การเจรจาขอความร่วมมือกับโรงกลั่นต่างประเทศนั้น จะติดปัญหาเรื่องการแทรกแซงตลาด
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม ทีมข่าวจะมาอัปเดตให้ทราบในลำดับต่อไป