svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

สบส. ร่วม ดีเอสไอ ลงนามบันทึกข้อตกลง ยกระดับกวาดล้างรับจ้างอุ้มบุญ

สบส. ร่วม ดีเอสไอ ลงนามบันทึกข้อตกลง ยกระดับการดำเนินงานในคดีอุ้มบุญ เพื่อกวาดล้างขบวนการรับจ้างอุ้มบุญผิดกฎหมาย ระบุ มีเด็กอุ้มบุญผิดกฎหมายเกิดมาแล้ว 19 ราย

31 พฤษภาคม 2565  ที่อาคารกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) และ นพ.ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ โดย นพ.ธเรศ  เปิดเผยว่า การประสานงานแก้ปัญหาอุ้มบุญผิดกฎหมาย ได้พูดคุยกับทาง DSI มานาน แต่ระยะหลังพบว่า การอุ้มบุญเป็นคดีที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางการแพทย์ภายในประเทศ

 

โดยเฉพาะกับเด็กที่เกิดและไม่ได้รับการดูแล จึงต้องมีการร่วมมือลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ อย่างจริงจังเพื่อใช้เทคโนโลยีในการสืบสวนสอบสวนคุ้มครอบเด็กที่ เกิดโดยอาศัยเทคโนโลชีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามข้อกฎหมาย

สบส. ร่วม ดีเอสไอ ลงนามบันทึกข้อตกลง ยกระดับกวาดล้างรับจ้างอุ้มบุญ

หลังจากลงนามครั้งนี้ไปแล้ว นพ.ธเรศ เชื่อว่าจะปราบปรามขบวนการลักลอบอุ้มบุญผิดกฎหมาย ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เนื่องจากมีขบวนการสอบสวนเชิงลึก รวมถึงได้มีการพูดคุยกับ DSI ในการปรับแก้ข้อกฎหมายที่ยังเป็นอุปสรรคการทำงานของเจ้าหน้าที่ เช่น อาจจะเปิดให้ชาวต่างชาติที่ประสงค์อยากมีลูก เข้ามาดำเนินการอุ้มบุญอย่างถูกกฎหมาย เพื่อสนับสนุนลดการลักลอบเข้ามาจ้างวานอุ้มบุญ

 

ส่วนคดีที่ DSI รับเป็นคดีอุ้มบุญผิดกฎหมายเข้ามาเป็นคดีพิเศษ นพ.ธเรศ ระบุว่า ทาง DSI จะสืบสวนเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้เร็วขึ้น

 

ด้าน นพ.ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการปราบปรามขบวนการอุ้มบุญผิดกฎหมาย ส่วนใหญ่จะเจอในกรณีที่เด็กคลอดออกมาและได้รับการเลี้ยงดู แต่จากนี้จะเน้นการปราบปรามตั้งแต่ต้นทาง คือการฝังตัวอ่อน ซึ่งปัจจุบัน DSI ได้รับคดีอุ้มบุญผิดกฎหมายเป็นคดีพิเศษ 2 คดี พบความผิดชัดเจน คือนำเชื้อมาจากต่างประเทศและฝังตัวอ่อนในไทย

 

สบส. ร่วม ดีเอสไอ ลงนามบันทึกข้อตกลง ยกระดับกวาดล้างรับจ้างอุ้มบุญ

เบื้องต้น เด็ก และแม่ อยู่ในความคุ้มครองของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากการสอบสวน พบว่า ผู้จ้างวานให้อุ้มบุญเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งทำเป็นขบวนการมานานแล้ว แต่จากสภาวะโควิด-19 ทำให้แม่อุ้มบุญที่จะเดินทางไปต่างประเทศมีข้อจำกัด ทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้มากขึ้น ง่ายต่อการขยายผลการสอบสวนต่อไป

 

ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลคดีอุ้มบุญที่ผ่านมา DSI พบมีเด็กจากการอุ้มบุญผิดกฎหมาย เกิดมาแล้ว 19 ราย ส่วนใหญ่ผู้จ้างวานเป็นชาวเอเชีย ซึ่งขบวนการรับอุ้มบุญผิดกฎหมาย ส่งผลต่อความเชื่อด้านการแพทย์ของไทย จึงจำเป็นต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวด และเห็นด้วยกับ สบส.ที่แก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์

 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ การให้บริการอุ้มบุญทางการแพทย์ของไทย พบว่า มีอัตราความสำเร็จตั้งครรภ์สูงถึงร้อยละ 45 มีการให้บริการทำเด็กหลอดแก้ว กว่า 20,000 รอบต่อการรักษา ผสมเทียมกว่า 12,000 รอบ มีการพัฒนาระบบเพื่อส่งเสริมสถานพยาบาลที่ให้บริการด้านเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ รวม 104 แห่งและพิจารณาอนุญาติให้ดำเนินการตั้งครรภ์หรืออุ้มบุญอย่างถูกกฎหมาย 584 ราย สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 4,500 ล้านบาท