สธ. ออกมาย้ำเตือนและแจ้งข่าวเพื่อให้ประชาชนทุกฝ่าย ได้ป้องกันให้ห่างไกลจาก "โรคฝีดาษลิง (Monkeypox)" ซึ่งเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน และติดจากคนสู่คนได้ โดยโรคนี้พบมากในประเทศแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก ได้แก่ แคเมอรูน สาธารณรัฐแอฟริกากลาง คองโก กาบอง ไลบีเรีย ไนจีเรีย และเซียร์ราลีโอน การพบผู้ป่วยในประเทศนอกเขตแอฟริกา เช่น สหรัฐอเมริกา อิสราเอล สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร มักเกิดจากการเดินทางระหว่างประเทศหรือการนำเข้าสัตว์ที่ติดเชื้อ
โรคฝีดาษลิง ไม่ใช่โรคใหม่ แต่เคยระบาดมาแล้วมากกว่า 20 ปี โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae จัดอยู่ในจีนัส Orthopoxvirus เช่นเดียวกับไวรัสอีกหลายชนิด ได้แก่ ไวรัสที่ทำให้เกิดฝีดาษในคนหรือไข้ทรพิษ (variola virus) ไวรัสที่นำมาผลิตวัคซีนป้องกันฝีดาษในคน (vaccinia virus) และฝีดาษวัว (cowpox virus) เชื้อไวรัสฝีดาษลิงพบได้ในสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนูป่า เป็นต้น รวมทั้งคนก็สามารถติดโรคได้
ด้าน องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ออกคำเตือนว่าอาจพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงในอังกฤษมากขึ้น โดยจากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน คล้ายกับว่าเป็นการติดเชื้อในท้องถิ่น แต่ขอบเขตของการแพร่เชื้อยังไม่ชัดเจน และมีความเป็นไปได้ที่จะพบผู้ป่วยเพิ่มอีก
โดยผู้ป่วยในอังกฤษส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มผู้หลากหลายทางเพศ ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขของอังกฤษกำลังตรวจสอบแหล่งที่มาของการแพร่เชื้อ และการที่พบการติดเชื้อทั้งในสหรัฐฯ โปรตุเกส สเปน และแคนาดาที่ต้องสงสัยติดเชื้อนั้น ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกมากขึ้น เนื่องจากโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลาง โดยน้อยมากที่จะแพร่กระจายไปที่อื่น
การติดต่อ
ระยะเวลาในการรับเชื้อ-อาการ
การป้องกันและควบคุมโรค เริ่มต้นด้วยการป้องกันตนเองและคนที่คุณรัก รายละเอียดดังต่อไปนี้
ล่าสุด ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุถึงฝีดาษลิง ว่า โรคนี้ไม่ใช่โรคอุบัติใหม่ มีมานานกว่า 10 ปี โดยพบผู้ป่วยรายแรกที่แอฟริกา และมีความแตกต่างจากเชื้อผีดาษในคน ที่พบว่า สามารถติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ และสารคัดหลั่งจากการไอ จาม
“ ฝีดาษในลิงนี้ จะมีการติดต่อได้จากการสัมผัสบาดแผล หรือฝีหนอง และเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน โรคนี้พบในลิงแอฟริกา แต่มีพาหะคือหนู หรือ สัตว์ฟันแทะ ตระกูลหนู กระรอก ทั้งนี้การที่พบผู้ป่วยในต่างประเทศ ก็มาจากการเลี้ยงสัตว์แปลก หรือ มีการเดินทางไปที่แอฟริกามาก่อน ”
หมอยง กล่าวอีกว่า การติดต่อของฝีดาษลิง ถือว่าติดต่อได้ยากเมื่อเทียบกับฝีดาษคน เพราะต้องสัมผัสกับ บาดแผล ฝีหนอง ของคนป่วย ทำให้เกิดอาการไข้ ไอ เจ็บคอ และมีตุ่มแดงขึ้น จากนั้นพัฒนากลายเป็นตุ่มน้ำใส และแตกออก ส่วนใหญ่มีอาการประมาณ 2-4 วันก็สามารถหายได้ ส่วนระยะเวลาการฟัเชื้อ 5-14 วัน แต่บางคนก็มีอาการรุนแรงเสียชีวิตได้ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันต่ำ ประมาณ 10%
ดังนั้น โรคนี้แก้ได้ ด้วยการรักษาสุขอนามัย หมั่นล้างมือ และหากมีอาการไอ จาม ก็ควรสวมหน้ากากอนามัย ทั้งนี้โรคนี้มีวัคซีน และสามารถใช้วัคซีนฝีดาษในคนป้องกันได้ แม้จะให้ผล 85% แต่ทั้งนี้ที่คนส่วนใหญ่ต้องเร่งขจัดโรคฝีดาษลิงไม่แพร่ เนื่องจากการพบฝีดาษลิงในคน เท่ากับการทำให้ไวรัสมีการพัฒนา ข้ามสายพันธุ์ หากมากขึ้นก็อาจกลายพันธุ์ได้ ฉะนั้นทำให้นานาประเทศต้องเร่งขจัด สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย ศ.นพ.ยง ระบุว่า ยังไม่ต้องแตกตื่นและกังวลกับโรคนี้ ยังไม่ได้เกิดในไทย และเชื้อนี้ก็ไม่มีในลิงของไทย มีเชื้อเฉพาะในลิงแอฟริกา
“ หากผ่านโควิดมาได้ การป้องกันตัวโรคนี้ก็ไม่แตกต่างกัน สุขอนามัย เป็นเรื่องสำคัญและอย่าได้เลี้ยงสัตว์แปลกจากต่างประเทศ ส่วนฝีดาษในคน ประเทศไทยได้ขจัดโรคนี้จากการปลูกฝี และหมดไปในปี 2517 ฉะนั้นเด็กที่เกิดหลังปี 2517 ก็จะไม่พบโรคนี้อีก ” หมอยง กล่าวทิ้งท้าย
ขอขอบคุณที่มา : กรมควบคุมโรค