จากกรณี น.ส.วิราวรรณ ชวดพงษ์ อายุ 40 ปี อยู่เลขที่ 9/229 หมู่3 ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ร้องผู้สื่อข่าวว่าได้โอนเงินร่วม 3 แสนบาท ผิดบัญชี เงินไปเข้าบัญชีของ นางเสาวณีย์ คำพาย อายุ 44 ปี ชาวบ้านหนองข่า ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ และต้องลำบากเพราะติดต่อประสานงานกับธนาคาร ทั้งใช้วิธีโทรผ่านคอลเซ็นเตอร์ และไปติดต่อธนาคารสาขา กลับโยนกันไปมา สุดท้ายได้แค่รับเรื่องไว้ ไม่มีการอายัดเงินไว้ให้ได้ ต้องวิ่งหาสืบสวนข้อมูลเองจนสามารถได้เงินกลับคืนมา 160,000 บาทที่เหลือสาวเจ้าของบัญชีปลายทางบอก "หมดแล้วยอมติดคุก”
เหตุการณ์ดังกล่าวประชาชนทั่วไป ต่างให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก มีการตั้งข้อสังเกตทั้งคนที่โอนผิดว่าหละหลวม คนที่รับโอนที่จงใจจะเอาเงินคนอื่น รวมถึงธนาคารที่ไม่ให้ความสนใจลูกค้า โดยเฉพาะโลกโซเชียล ที่จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดอื่น ต่างออกมารุมประณาม นางเสาวณีย์ เหมือนเป็นการกดดันให้ออกมารับผิดชอบกับการกระทำ เนื่องจากหลบหนี ซ่อนตัวไม่ให้ใครพบเห็นและไม่ยอมรับผิดชอบ
ล่าสุด นางเสาวณีย์ ได้ออกมายอมเปิดปากทั้งน้ำตากับผู้สื่อข่าวว่ารู้สึกผิดและรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับผิดทุกกรณีและได้โทรศัพท์หาเจ้าของเงินแล้ว เบื้องต้นจะเอาทะเบียนรถจักรยานยนต์ที่ลูกสาวเอาเงิน 20,000 บาทไปปิดมา เอาไปเข้าไฟแนนซ์คืน แล้วจะโอนกลับไปให้เจ้าของเงินทันที ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 110,000 เศษ จะขอทำงานผ่อนชำระให้ และอยากจะฝากถึงผู้ที่คิดจะทำแบบนี้ ให้เลิกคิด เงินของเขายังไงก็เป็นของเขา ที่ผ่านมาหลังเกิดเรื่อง รู้สึกเป็นจำเลยสังคม อยู่อย่างลำบากแทบฆ่าตัวตาย
ด้าน น.ส.วิราวรรณ ชวดพงษ์ เจ้าของเงินที่โอนผิด บอกว่า วันนี้ นางเสาวณีย์ได้โทรศัพท์เข้ามา ว่าขอโทษ และอยากจะขอโอกาสกลับตัว ข้อเสนอดังกล่าวที่จะโอนเงินมา 20,000 บาท และขอโทษ ตนรับขอโทษ แต่ส่วนหนึ่งก็อยากให้ได้รับผลที่กระทำไป โดยเฉพาะการพูดแบบขวานผ่าซากว่า "ใช้เงินหมดแล้วจะยอมติดคุก” ทั้งนี้จะต้องมาเจรจาพูดกันเป็นทางการต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตอนนี้ยังไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้เห็นแววตากัน ว่ามีแววตาที่จริงใจในการขอโทษหรือไม่
ข่าว/ภาพ-เรืองรุจ วังแจ่ม สำนักข่าวเนชั่น จ.บุรีรัมย์