นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากกรณีข่าวสำนักพระบิดา มีการเปิดโรงงานผลิตอาหาร ปลาร้าบอง น้ำปลาร้า และนำไปขายในชุมชนข้างนอกนั้น ทำให้ประชาชนบางรายอาจเกิดความวิตกกังวลต่ออาหารอาหารประเภทนี้ กรมอนามัย จึงมีข้อแนะนำผู้บริโภคโดยต้องเลือกซื้อปลาร้า ที่ต้มสุก สะอาด มีแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ ในกรณีที่ซื้อแบบบรรจุขวดควรดูเลขสารบบอาหาร (เลข อย.) หากซื้อแบบไม่บรรจุขวด ควรดูว่ามีสิ่งเจือปน สีและกลิ่นผิดแปลกจากที่เคยกินหรือไม่ โดยเลือกซื้อจากสถานที่จำหน่ายที่น่าเชื่อถือและคุ้นเคย และก่อนบริโภคทุกครั้งควรนำไปทำให้สุกโดยปรุงด้วยความร้อนที่อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส นาน 5 นาที เพื่อลดความเสี่ยงพยาธิใบไม้ตับ
และสำหรับผู้ประกอบการนั้น ควรคำนึงถึงความสะอาดปลอดภัย เลือกวัตถุดิบหรือปลาที่มีคุณภาพ และมีระยะเวลาในการหมักที่เหมาะสม หากเป็นปลาส้มให้หมักนานมากกว่า 3 วัน ส่วนปลาร้าให้หมักนานมากกว่า 1 เดือนขึ้นไป โดยกระบวนการผลิตจะต้องมีเครื่องมือ และเครื่องใช้ที่สะอาด มีมาตรฐาน และมาตรการป้องกันการปนเปื้อน น้ำที่ใช้ในการผลิตจะต้องมีคุณภาพน้ำดื่มตามมาตรฐานของกรมอนามัย สถานที่เก็บวัตถุดิบต้องสะอาดเป็นสัดส่วน มีการป้องกันการปนเปื้อน ส่วนผู้ปฏิบัติงานต้องมีสุขอนามัยดี
ทั้งนี้ สำหรับด้านโภชนาการ ปลาร้าดิบปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 148 กิโลแคลลอรี มีสารอาหารประเภทโปรตีน 15.30 กรัม ไขมัน 8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.90 กรัม เหล็ก 3.40 กรัม วิตามินบี 1 0.02 กรัม วิตามินบี 2 0.16 กรัม และไนอะซิน 0.80 กรัม ซึ่งจัดว่าเป็นอาหารที่มีโภชนาการสูง เพราะปลาร้า คือแหล่งโปรตีนชั้นดีเมื่อเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์อื่น ๆ มีวิตามินแร่ธาตุหลายชนิด และยังเป็นแหล่งของโพรไบโอติกส์อีกด้วย แต่ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม
ปลาร้าต่วงที่มาจากทั้งโรงงาน และตลาด ปริมาณรวมโซเดียมของเกลือและผงชูสใกล้เคียงกัน โดยปลาต่วงของโรงงานจะมีโซเดียม 5,057 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม และจากตลาดจะมีโซเดียม 5,145 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ปลาร้าส้มตำปรุงสำเร็จ ที่นิยมนำมาปรุงอาหาร มีโซเดียม 5,647 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ขณะที่ปลาร้าสับแจ่วบอง มีโซเดียม 5,791 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ว่าใน 1 วัน ไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา หรือ 5 กรัม หรือเฉลี่ยไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อมื้ออาหาร
ดังนั้น ปลาร้าไม่ควรบริโภคมากกว่า 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน หากบริโภคเป็นประจำ หรือมากเกินไป ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น โรคหัวใจล้มเหลว หลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไตเรื้อรัง” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวย้ำ
นายสง่า ดามาพงษ์ นักโภชนาการ และที่ปรึกษากรมอนามัย กล่าวว่า ปลาร้าสะท้อนถึงภูมิปัญญาของท้องถิ่น ที่รู้จักนำเอาปลาที่ในบางฤดูกาลมีจำนวนมากมาถนอมอาหาร โดยเฉพาะในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ที่บางช่วงแล้งมาก ชาวบ้านก็จะได้ปลาร้าเหล่านี้มาทำกินเป็นอาหาร ส่วนทางด้านโภชนาการนั้น ถือว่าปลาร้ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะมีแหล่งโปรตีนชั้นดีเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์อื่นๆ จากการศึกษาพบว่า ปลาร้า 100 กรัม จะมีโปรตีนอยู่ถึง 15-20 กรัม นอกจากนี้ ยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส แคมเซียม วิตามินบี1 (B1) วิตามินบี2 (B2) และวิตามินเค (K)
"สิ่งที่พึงปฎิบัติ คือ ต้องกินปลาร้าที่ปรุงสุกถึงจะได้โปรตีนมาก และลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งท่อน้ำดี เพราะในปลาร้าดิบจะมีสารไนโตรซามีน ที่ก่อเซลล์มะเร็งในบางอวัยวะของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีโซเดียมสูงพร้อมทั้งอย่ากินซ้ำซาก หรือกินบ่อยๆ กินมากจะมีผลต่อไต ทำให้ไตทำงานหนัก" นายสง่า กล่าวย้ำ
ดังนั้น ที่แนะนำคือ ควรนำปลาร้ามาทำเป็นอาหารประเภทน้ำพริกกินกับผักชนิดต่างๆนอกจากนี้ หากจะทำเป็นสินค้าส่งออกเพื่อสร้างรายได้ สิ่งที่ผู้ผลิตจะต้องคำนึงถึงมากคือ ความสะอาดและความปลอดภัย ต้องระมัดระวังทั้งพยาธิ และเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งดีที่สุดคือ ควรนำปลาร้าไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ เช่น ปลาร้าบอง ปลาร้าสับ ฯลฯ และทำบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน