หลังจากเอมมานูเอล มาครง นักการเมืองสายกลางวัย 44 ปี ของพรรคอองมาร์ช (La Republique en Marche) วัย 44 ปี เอาชนะมารีน เลอ เพน คู่แข่งหัวขวาจัดวัย 53 ปี ของพรรคราสซอมเบลอมอนต์ นาซิอองนาล (Rassemblement national) เขาได้ไปพบผู้สนับสนุนที่สวนสาธารณะช็อง เดอมาร์ส (Champ de Mars) ใกล้หอไอเฟล โดยบอกว่าเขารู้ว่าคนจำนวนมากที่ลงคะแนนเสียงให้เขาไม่ใช่เพราะแนวคิดของเขา แต่เพื่อหยุดแนวคิดของพวกขวาจัดและเรียกร้องให้ผู้สนับสนุน "มีน้ำใจและให้เกียรติ" ผู้อื่น เพราะประเทศชาติถูกปลุกเร้าด้วย "ความเคลือบแคลงสงสัยและความแตกแยกอย่างมาก"
มาครงบอกว่า "นับจากนี้ไปผมจะเป็นแคนดิเดตของพรรคไม่ได้อีกแล้ว ผมเป็นประธานาธิบดีของทุกคน!" และยอมรับว่าฝรั่งเศสเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความแตกแยก แต่ก็ให้คำมั่นว่า "จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างทาง"
ชัยชนะครั้งนี้นอกจากจะทำให้มาครงสร้างประวัติศาสตร์เป็นประธานาธิบดีคนแรกในรอบ 20 ปี ที่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 ที่วาระของเขาจะยาวไปถึงปี 2570 ที่จะรวมช่วงเวลาสำคัญที่ปรุงปารีสได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิก 2024 (2567) ด้วย แต่อีกด้านหนึ่งชัยชนะครั้งนี้ถูกมองว่าไม่ได้หอมหวานสำหรับมาครง แต่มีความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้าที่ทำให้เขาอาจต้องเหนื่อยกว่าเมื่อ 5 ปีทีผ่านมา และสิ่งที่ปรากฎให้เห็นในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ
คนออกไปใช้สิทธิ์น้อยทั้งรอบแรกและรอบชี้ขาด
- ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในปีนี้ มี 48.7 ล้านคน แต่มีคนออกไปใช้สิทธิ์เพียง 72% และการที่มีคนนอนหลับทับสิทธิ์ถึง 28% ถือเป็นตัวเลขสูงที่สุดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส รอบชี้ขาด นับตั้งแต่ปี 2512 สะท้อนถึงความไม่ใส่ใจของชาวฝรั่งเศส ซึ่งการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อวันที่ 10 เมษายน มีคนออกไปใช้สิทธิ์เพียง 65%
- ตัวเลือกระหว่าง มาครง กับ เลอ เพน ถูกเปรียบเทียบว่าเป็นการตัดสินใจเลือกระหว่างกาฬโรคกับอหิวาตกโรค
- คะแนนที่ห่างกัน 58% ต่อ 42% บ่งชี้ว่า ฝ่ายขวาจัดเข้าใกล้การก้าวขึ้นสู่อำนาจในฝรั่งเศสมากสุดเท่าที่เคยมีมา และแสดงถึงความแตกแยกรุนแรงในประเทศ
อนาคตที่ไม่แน่นอนของรัฐบาลชุดใหม่
- การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่กำลังจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 12-19 มิถุนายน พรรคอองมาร์ชของมาครงกับพรรคพันธมิตร จำเป็นต้องได้เสียงส่วนใหญ่ 289 ที่นั่ง จากทั้งหมด 577 ที่นั่ง
- ผลสำรวจในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรก พบว่าพรรคร่วมรัฐบาล เช่น พรรคเล เรพุบลิแก็ง (Les Republicains) กับพรรคสังคมนิยม (Parti socialiste) อยู่ในสภาพง่อนแง่น ได้คะแนนนิยมไม่ถึง 5% และเกิดความเท่าเทียมกันของ 3 พรรค คือ พรรคที่มีแนวคิดซ้ายจัดสุดโต่ง, พรรคสายกลางที่หลากหลายของมาครงและพรรคที่มีแนวคิดขวาจัด
นโยบายที่รับปากไว้ในช่วงหาเสียง
- รับมือกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ใช้จ่ายเงินหลายพันล้านในควบคุมค่าพลังงาน ซึ่ง "ได้ผลดีกว่าการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม 2 เท่า"
- พนักงานควรจะได้รับเงินโบนัสที่ไม่มีการเก็บภาษี ในวงเงินที่มากถึง 6,000 ยูโร (ประมาณ 220,000 บาท)
- ปรับอายุผู้ที่ได้รับเงินบำนาญจาก 62 ปี เป็น 65 ปี แบบค่อยเป็นค่อยไป
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
- องค์การระหว่างประเทศที่สำคัญอย่าง สหภาพยุโรป (EU) กับองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) น่าจะโล่งออกมากที่สุด เพราะอย่างน้อยฝรั่งเศสภายใต้การนำของมาครงก็จะมีบทบาทและเป็นกำลังที่เข้มแข็งกับทั้งสององค์กรต่อไป