
รู้หรือไม่ ทุกวันที่ 7 เมษายนเป็นอนามัยโลก (World Health Day) ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติที่ต้องการให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของสุขภาพ รวมมือกันควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหา รวมทั้งเสริมสร้างสุขภาพให้เท่าเทียมกันอย่างทั่วหน้า
วันอนามัยโลก มีประวัติความเป็นมาอย่างไร
องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) เป็นองค์กรของสหประชาชาติที่เกิดขึ้นหลังจากประชากรของโลกได้ถูกภัยคุมคามจากโรคระบาดต่าง ๆ ทำให้เกิดปัญหาที่ต้องพิจารณากันในระหว่างประชาชาติต่าง ๆ เพราะมีโรคระบาดแพร่จากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งอยู่เสมอ ทำให้ต้องมีการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศได้ร่วมมือกัน ทำให้ในปี พ.ศ. 2349 ได้มีการจัดการประชุมเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยระหว่างประเทศเป็นครั้งแรกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อวางมาตรการควบคุมและกักกันโรคระบาดระหว่างประเทศ
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2489 คณะมนตรีด้านสังคมและเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติได้จัดให้มีการประชุมว่าด้วยสุขภาพระหว่างประเทศที่รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในที่ประชุมเล็งเห็นว่าสุขภาพของประชาชนเป็นรากฐานของสันติภาพและความมั่นคงปลอดภัยของประชาชาติ จึงได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อเตรียมการสถาปนาองค์การอนามัยโลก โดยจัดการร่างธรรมนูญขององค์การอนามัยโลกแล้วเสร็จ ประกาศใช้ธรรมนูญเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2491 พร้อมกันนี้ สมัชชาองค์การอนามัยโลก ได้พิจารณาให้เฉลิมฉลองวันที่ 7 เมษายน ของทุกปีเป็น “วันอนามัยโลก (World Health Day)” และมีมติให้มีการฉลองพร้อมกันทั่วโลกตั้งแต่ พ.ศ. 2492 โดยองค์การอนามัยโลกได้กำหนดข้อปัญหาทางอนามัยขึ้นปีละ 1 เรื่อง สำหรับตั้งเป็นคำขวัญ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วโลกใช้เป็นแนวทางในการให้สุขศึกษาแก่ประชาชน
องค์การนามัยโลกแบ่งงานออกเป็นกี่ประเภท
องค์การอนามัยโลกแบ่งงานแยกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. พยายามอำนวยความช่วยเหลือให้แก่ประเทศต่าง ๆ ตามความต้องการเมื่อได้ร้องขอ
2. จัดให้บริการด้านสุขภาพอนามัยแก่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
3. ส่งเสริมและประสานงานด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ อันไม่อาจดำเนินไปได้โดยลำพังแต่ละประเทศ
วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์การอนามัยโลกคืออะไร
1. เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วโลกให้มีสุขภาพอนามัยอยู่ในระดับสูงสุดทั้งในร่างกายและจิตใจ
2. เพื่อส่งเสริมการอนามัยระหว่างประเทศ และร่วมมือกับรัฐบาลประเทศสมาชิกในการดำเนินงานตามโครงการอนามัยต่าง ๆ รวมทั้งกำหนดมาตรฐานยาและวัคซีน
3. เพื่อให้บริการทางวิชาการในด้านอนามัยระหว่างประเทศ และส่งเสริมการวิจัยทางการแพทย์
แนวทางในการส่งเสริมอนามัยโลกมีอะไรบ้าง
ให้บริการด้านสุขภาพอนามัยแก่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ส่งเสริมและประสานงานด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพต่างๆ รวมถึงการส่งเสริมแนวทางการจัดกิจกรรมวันอนามัยโลก
กิจกรรมในวันอนามัยโลก มีอะไรบ้าง
1. จัดนิทรรศการให้คนหันมาใส่ใจสุขภาพ
2. จัดการเต้นแอโรบิกเพื่อสุขภาพ
3. ให้ความรู้กับแม่และเด็ก
องค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดให้เป็นวันอนามัยโลก (World Health Day) เป็นหมุดหมายที่สำคัญในการรณรงค์ด้านสุขภาพของคนทั่วโลก ทั้งในแง่การควบคุม ป้องกัน แก้ปัญหา และส่งเสริม ให้เกิดความทั่วถึง อย่างถ้วนหน้าและเท่าเทียมกัน
ในปี 2565 นี้มีการกำหนดหัวข้อรณรงค์ไว้ว่า “Our planet, our health” สืบเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 และสถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้เห็นว่าจริง ๆ แล้ว ผลกระทบทางด้านสุขภาพที่พลเมืองโลกต้องเผชิญนั้นไม่ได้เป็นปัญหาของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่เราต่างต้องเผชิญร่วมกัน มีผลกระทบต่อเนื่องกันอย่างเลี่ยงไม่ได้แม้อยู่คนละซีกโลก รวมทั้งทำให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์และเทคนิคการแพทย์ คือพลังสำคัญในการต่อสู้กับช่วงเวลาที่แสนยากลำบากนี้
N Health ประเมินว่า วิทยาศาสตร์และเทคนิคการแพทย์ จะเป็นจุดเปลี่ยนวิถีดูแลสุขภาพของคนยุคใหม่ที่สำคัญอย่างยิ่งใน พ.ศ. นี้ โดย 5 เทรนด์ที่สำคัญ ได้แก่
1. Know Your DNA การตรวจ DNA จะกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เป็นเสมือนการถอดรหัสชีวิต ที่จะบอกว่าพื้นฐานร่างกายของแต่ละคนเป็นอย่างไร มีความสามารถในการรับมือกับผลกระทบต่าง ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน เช่น ความทนทานของกล้ามเนื้อในการออกกำลังกาย ความไวต่อแอลกอฮอล์และคาเฟอีน เป็นต้น ตลอดจนรู้ถึงศักยภาพแฝง เช่น อัจฉริยภาพทางด้านภาษา ดนตรี หรือศิลปะ
2. Dig Deep to The Micro เมื่อก่อนการตรวจสารอาหารในร่างกายทำได้ยาก แต่ตอนนี้สามารถตรวจสารอาหารต่าง ๆ ในร่างกายที่ลึกลงและเล็กลงถึงระดับไมโครได้ เราจึงสามารถเลือกรับประทานอาหารและอาหารเสริมได้อย่างเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไปจนเป็นอันตราย
3. Turn Down All Risks การตรวจความเสี่ยงต่อมะเร็ง การตรวจหาสารตกค้าง จะกลายเป็นเรื่องปกติและสามารถทำได้ต่อเนื่อง ด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายและเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างและความจำเป็นที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงไม่เหมือนกัน การมอนิเตอร์ความเสี่ยงเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ประชาชนสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลสุขภาพให้เหมาะสมได้ตามสภาวะและสถานการณ์ของชีวิต
4. Laboratory for Daily Lifestyle การตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ จะกลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายและสะดวกสบายขึ้น ราวกับไปเดินห้างหรือเข้าคาเฟ่ ผู้ให้บริการจะหันมาให้ความสำคัญในการบริการมากขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นการมาเจาะเลือดหรือตรวจปัสสาวะเท่านั้น แต่ห้องปฏิบัติการจะกลายเป็นสถานที่ที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ของผู้คนมากขึ้น เช่น การมี Co-working Space หรือ Coffee Bar ตลอดจน มีการทำเวิร์กช้อปเกี่ยวกับสุขภาพ หรือเกิดการสร้างคอมมูนิตี้ด้านสุขภาพที่มากขึ้น
5. Self-Health Planning แผนการดูแลสุขภาพจะมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น มีทั้งเครื่องมือที่สามารถใช้ตรวจได้เอง ยกตัวอย่าง ATK ที่สามารถตรวจโควิด-19 ได้เอง มีทั้งการตรวจสุขภาพแบบมอนิเตอร์ตัวเอง เพื่อเลือกการกินอาหารเสริมหรือออกกำลังกายที่เหมาะสม หรือลดละเลิกพฤติกรรมบางอย่าง หรือเช็กว่ามีความจำเป็นที่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์หรือยัง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเทรนด์การดูแลสุขภาพจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด เป้าหมายที่สำคัญก็คือการมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่แข็งแรง ห่างไกลจากภาวะความเจ็บป่วย สามารถดำเนินชีวิตไปข้างหน้าได้ตามปกติได้ในทุก ๆ วัน อย่างยืนยาว เพื่อเติมเต็มความหมายและดื่มด่ำกับการมีชีวิตได้อย่างไร้กังวล
ขอขอบคุณที่มาข้อมูล : mohara