สืบเนื่องจากกรณี กระทรวงสาธารณสุข เผยการติดเชื้อโควิด 2 สายพันธุ์ในคนเดียว มีโอกาสเกิดสายพันธุ์ลูกผสมหรือไฮบริดได้ ขณะนี้ประเทศไทยพบผู้ป่วย 1 ราย ซึ่งรักษาหายเเล้ว ถอดรหัสพันธุกรรมแล้วพบใกล้เคียงสายพันธุ์ลูกผสม XJ แต่ยังต้องรอผลสรุปจาก GISAID อีกครั้ง ย้ำสถานการณ์โอมิครอนในขณะนี้เชื้อแพร่ง่าย มีโอกาสติดเชื้อสูง ต้องป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัดและฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่มภูมิคุ้มกัน
โดยการติดเชื้อ 2 สายพันธุ์ขึ้นไปในคนเดียว (Mixed Infection) จะมีโอกาสเกิดการผสมพันธุ์เป็นตัวใหม่หรือ "ไฮบริด" ซึ่งมีระบบการเรียกโดยใช้ "X" นำหน้า ขณะนี้มีประมาณ 17 ตัว ตั้งแต่ XA ถึง XS แต่ในระบบเฝ้าระวังของโลกคือ GISAID มีการยอมรับว่าเป็นลูกผสมจริง 3 ตัว คือ XA , XB และ XC
นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ถอดรหัสพันธุกรรม เพื่อเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด สัปดาห์ละ 500-600 รายพบว่า มี 1 รายที่ใกล้เคียงกับ "XJ"ที่เจอครั้งแรกในฟินแลนด์ ซึ่งเป็น BA.1+BA.2 ผู้ป่วยรายนี้รักษาหายแล้ว
สำหรับ การติดเชื้อโควิด 2 สายพันธุ์ในคนเดียวมีโอกาสเกิดการผสมพันธุ์เป็นตัวใหม่ หรือ "ไฮบริด"ซึ่งมีการเรียกโดยใช้ "X" นำหน้า มีประมาณ 17 ตัว ตั้งแต่ XA-XSข้อมูลการแพร่เร็ว ความรุนแรง และการหลบภูมิ ยังต้องติดตามต่อไป
สำหรับสายพันธุ์ XJ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องการแพร่เร็วหรือรุนแรง เพราะเบื้องต้น จะต้องตรวจหาตำแหน่งที่มีการเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมก่อน และมาพิจารณาว่าตำแหน่งที่เปลี่ยนนั้นมีโอกาสหลบภูมิ ทำให้รุนแรง หรือแพร่เร็วมากขึ้นหรือไม่ ดังนั้น ประชาชนยังไม่ต้องกังวลเรื่องสายพันธุ์ลูกผสม
ส่วนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ มีการแพร่เชื้อเร็ว ทำให้มีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น จึงขอให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงและป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกัน รวมถึงต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน"
ขณะที่ล่าสุด ( 5 เมษายน 2565 ) องค์การอนามัยโลก ประเทศไทย เปิดเผยสถิติการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ประเทศไทย ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “World Health Organization Thailand” แนะนำให้บุตรหลานนำผู้สูงอายุไปรับวัคซีนป้องกัน โควิด-19 พร้อมเผยสถิติที่น่ากังวลจากการเสียชีวิตของผู้สูงอายุในประเทศไทยในปี 2565 มีเนื้อหาดังนี้
สำหรับประเด็นคำถามเหตุใดผู้สูงอายุจึงควรรับวัคซีนต้านโควิด
คำตอบที่น่าสนใจ เหตุเพราะผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะป่วยและเสียชีวิตจาก โควิด-19 สูงกว่าคนที่อายุน้อยกว่าอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคปอด หรือมะเร็ง
ผู้สูงอายุและคนทุกวัยที่มีโรคประจำตัว มีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะป่วยหนักเมื่อติดเชื้อโควิด 19 และเนื่องจากผู้สูงอายุมักมีโรคประจำตัว พวกเขาจึงมีความเสี่ยงถึงสองเท่า หรืออาจเป็นสามเท่า หากมีโรคในกลุ่มเสี่ยงมากกว่าหนึ่งอย่าง
การวิเคราะห์ล่าสุดเกี่ยวกับการติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย ใน 2 เดือนแรกของปี 2565 พบว่า..
ร้อยละ 75 ของการเสียชีวิตทั้งหมดเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และจากผู้เสียชีวิต 928 ราย ร้อยละ 60 ไม่ได้รับวัคซีน
การวิเคราะห์ล่าสุดอีกหนึ่งชิ้นในประเทศไทยชี้ว่า การรับวัคซีน 2 เข็มช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตได้ 6 เท่า และการรับวัคซีน 3 เข็มลดความเสี่ยงได้ 41 เท่า
ข้อมูลปัจจุบัน ยังแสดงให้เห็นว่า ร้อยละ 83.3 ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีในประเทศไทยได้รับวัคซีนเพียงเข็มเดียว ร้อยละ78.8 ได้รับ 2 เข็ม ร้อยละ 32 ได้รับ 3 เข็ม แม้ว่าสัดส่วนเหล่านี้จะค่อนข้างสูง แต่ก็ยังหมายความว่า อีกร้อยละ 20.2 ของกลุ่มประชากรที่เปราะบางที่สุดในประเทศไทยยังได้รับวัคซีนเข็มพื้นฐานไม่ครบ
ปัจจุบันสัดส่วนผู้ป่วยโควิด 19 ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลกำลังเพิ่มสูงขึ้น และเป็นเหตุให้เราควรกังวล เนื่องจากในช่วงสงกรานต์ ประชากรที่อายุน้อยกว่าและอาจติดเชื้อจะเดินทางกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อนกับครอบครัว รวมถึงญาติผู้สูงอายุ
ดังนั้น เราทุกคนจึงต้องจริงจังมากขึ้นในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันขั้นพื้นฐานที่เราทราบดีว่าช่วยตัดวงจรการระบาด และทำให้เส้นกราฟราบลง รวมทั้งสวมหน้ากาก หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดและอากาศไม่ถ่ายเท หมั่นล้างมือ และไอจามอย่างถูกวิธี กล่าวคือ ไอจามใส่ข้อพับแขนด้านในหรือทิชชู และทิ้งในภาชนะที่ปลอดภัย
องค์การอนามัยโลก ประเทศไทย สนับสนุนการดำเนินงานในปัจจุบันของกระทรวงสาธารณสุขในการส่งเสริมการฉีดวัคซีนในผู้สูงอายุ