เพิ่ม nation online
ลงในหน้าจอหลักของคุณ
วันที่ 1 เมษายน 2565 เวลา 09.00 น. ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น หรือ KICE นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานและมอบมอบนโยบายการดำเนินงานด้านกัญชา รวมทั้งการปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “กัญชา กัญชงไทย ความมั่นคงทางสุขภาพและเศรษฐกิจของชาติ” มีนายแพทย์ เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวรายงานวัตถุประสงค์และความเป็นมาของการจัดงาน นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ให้การต้อนรับ และมีส่วนราชการ ผู้ประกอบการ และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จาก 4 จังหวัด ภาคอีสาน ที่อยู่ในเขตสุขภาพที่ 7 ได้แก่ ร้อยเอ็ด ขอนแก่น มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ เข้าร่วม ขณะเดียวมีนักการเมืองชื่อดัง เช่น นายเอกราช ช่างเหลา ร่วมให้การต้อนรับ โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 3 เมษายน 2565 กิจกรรมภายในงาน มีการจัดวงเสวนาเพื่อให้ความรู้ในเรื่องวิชาการที่เกี่ยวกับกัญชา
ซึ่งจะเป็นแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางด้านวิชาการใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ กัญชาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน กัญชาทางการแพทย์แผนไทย และกัญชาภาคประชาชน จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ชมบูธนิทรรศการกัญชา การสาธิตและฝึกปฏิบัติการการทำอาหารเมนูจากกัญชา การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์การปลูกกัญชาภาคประชาชน การนำกัญชามาใช้เพื่อดูแลสุขภาพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพจากกัญชา เทคนิคและวิธีการปรุงดินสำหรับการปลูกกัญชา การปั้นธุรกิจกัญชาระดับเศรษฐกิจประเทศระดับสากล การพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวกัญชาชุมชน การใช้กัญชาในผู้ป่วยมะเร็ง การผลิตสบู่สมุนไพรจากสารสกัดใบกัญชา ซึ่งหนึ่งในบูธนิทรรศการที่นายอนุทินฯ ได้เข้าไปเยี่ยมชม คือ บูธของชมรมสปาและนวดเพื่อสุขภาพจังหวัดขอนแก่น “นวดกัญชง ดื่มกัญชา ในสปาอีสาน” โดยได้ทดลองนวดแขนด้วยน้ำมัญกัญชงด้วย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หลังจากที่ได้มีการเดินหน้าในการจัดการประชุมวิชาการกัญชาทางการแพทย์ ในแต่ละจังหวัดตามเขตสุขภาพ ในภาพรวมพบว่า ประชาชนมีความร่วมรู้ความเข้าใจในการใช้สมุนไพรกัญชาเริ่มดีขึ้นตามเรื่อยๆ สิ่งที่น่าดีใจก็คือ หลังจากที่ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ไปจัดงานในหลายภูมิภาค ก็ได้เห็นความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกัญชาและกัญชงมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เฉพาะน้ำมันหรือสารสกัดที่เคยเห็นเพียงอย่างเดียวแล้ว ตอนนี้เป็นทั้งเครื่องสำอาง เครื่องดื่ม รวมทั้งการนำใบกัญชงมาขาย ขีดหนึ่งราคาสูงถึง 400-500 บาท แล้วคิดดูว่าหากนำเอาใบกัญชาที่เป็นพันธุ์ดีมาขายจะสร้างรายได้ได้มากขนาดไหน ซึ่งจะเห็นว่าปัจจุบันกัญชงและกัญชาเริ่มถูกนำไปแตกแขนงเป็นสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย
“ช่วงที่เดินเยี่ยมชมบูธนิทรรศการที่มาจัดแสดง ผมก็ถามผู้ประกอบการที่มาว่าผลิตภัณฑ์ที่ทำออกมาผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง เขาก็บอกว่าขายดีมาก ปัจจุบันหลายๆ โรงพยาบาลก็บ่นว่า น้ำมันกัญชาที่เราขึ้นทะเบียนเป็นยาหลัก ซึ่งเป็นสูตรของอาจารย์เดชา ศิริภัทร ผู้เชี่ยวชาญการใช้กัญชาทางการแพทย์ ตอนนี้เริ่มไม่พอใช้ ทั้งที่ในสมัยก่อนเหลือเยอะมาก จากแพทย์สมัยใหม่ที่ไม่ค่อยนิยมให้ ก็หันมาใช้กันมากขึ้นจนเริ่มไม่เพียงพอ ซึ่งผมก็ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมแพทย์แผนไทย ได้เร่งทำสัญญากับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและชาวบ้าน ซึ่งอีกไม่นาน ชาวบ้านที่สามารถปลูกได้ด้วยตนเองภายในครัวเรือน ก็สามารถนำมาขายได้ให้กับกรมการแพทย์แผนไทยได้ คล้ายๆกับรูปแบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ที่การันตีว่า หากปลูกแล้วจะมีตลาดรับซื้ออย่างแน่นอน โดยกัญชาเป็นพืชเพียงไม่กี่ชนิดที่เราสามารถสร้างรายได้จากทุกส่วนของลำต้น ตั้งแต่รากไปจนถึงดอก ซึ่งเราจะเดินหน้าให้ความรู้เรื่องกัญชาให้กับประชาชนในทุกเขตสุขภาพ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 13 เขตสุขภาพ ขณะนี้ลงพื้นที่ไปแล้วทั้งหมด 4 เขตสุขภาพ ” นายอนุทิน กล่าว
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวอีกว่า ปัจจุบันพืชกัญชาไม่ใช่พืชทางเกษตรกรรมที่เอามาใช้ในรูปแบบของภูมิปัญญาชาวบ้านเท่านั้น เพราะขณะนี้บริษัทลงทุนต่างๆ ผู้ประกอบการต่างๆ ที่เป็นรูปแบบของเชิงอุตสาหกรรมในระดับข้ามชาติก็ติดต่อมาขอใบอนุญาตกับทางกระทรวงสาธารณสุขเยอะมาก มีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับกัญชาออกมาสู่ท้องตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดเป็นช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและพี่น้องประชาชนได้มากขึ้นหลังจากที่เราได้มีการปลดล็อคกัญชาจากบัญชียาเสพติดแล้ว จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชน จังหวัด และประเทศได้ในอนาคต
นายอนุทิน ยังได้ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น จับกุม 2 ยาย ชาว ต.โคกสูง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ที่ปลูกกัญชา 1 ต้น เพื่อใช้สำหรับรักษาโรคว่า ในกรณีที่เกิดขึ้นนี้ได้มีการทำความเข้าใจกันกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ซึ่งต้องขอขอบคุณ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้มาชี้แจงกับทางคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข ที่สภาผู้แทนราษฎร โดยได้มีการกำหนดแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้รักษากฎหมายจับกุมกัญชา โดยใช้หลักรัฐศาสตร์ ควบคู่ กับหลักนิติศาสตร์ โดยให้พิจารณาว่า หากชาวบ้านปลูกกัญชาไว้ใช้ในครัวเรือน ไม่ได้เอาไปทำให้เกิดโทษ ก็ขอให้ใช้หลักรัฐศาสตร์ในการพิจารณาให้มากขึ้น แต่ประชาชนเองก็ไม่ใช่ว่าจะฉวยโอกาสนี้ไปในทางที่ผิด ซึ่งกรณีการจับกุม 2 ยาย ชาว อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนทางกฎหมาย เป็นดุลยพินิจของศาล แต่ในแง่ของการช่วยเหลือเยียวยา ทางผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ก็ได้ให้ข้อมูลว่า ได้มีการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลเยียวยา
“อยากแนะนำประชาชนที่ต้องการปลูกกัญชาในระหว่างห้วงเวลา 120 วัน ที่จะสามารถปลูกได้โดยไม่ผิดกฎหมายว่า อย่านำกัญชาไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การนำไปเสพจนเกิดการมึนเมา จนสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น อย่าทำเด็ดขาด เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ดี และคนในสังคมก็จะเห็นว่า พอใช้แล้วก็ยังเป็นโทษอยู่ ก็จะทำให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ในกัญชาถูกห้ามไปด้วย วันนี้ขอย้ำว่า กัญชาไม่ใช่ยาเสพติดแล้ว กฎหมายใหม่บอกไว้แล้วว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติด เพียงแต่ว่ามันมีบทเฉพาะกาลว่า ให้รอ 120 วัน ถึงจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ แต่ตอนนี้ทางตำรวจ ป.ป.ส. ก็บอกว่า จะใช้หลักรัฐศาสตร์ในการพิจารณาเอาผิดให้มากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้ไม่มีปัญหาก็ขอให้ประชาชนรอให้พ้น 120 วัน ซึ่งจะครบกำหนดประมาณวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ตามบทเฉพาะกาลไปก่อน” รองนายกฯ กล่าว
ข่าวโดย – กฤศเมธ โลโห