จากกรณี "หลวงพ่อเย็น" หรือพระครูสีตะจิตธรรมคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าทรงธรรม หมู่ 1 ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ได้มรณะภาพ เมื่อวันที่ 26 ม.ค.65 สิริอายุ 81 ปี ซึ่งภายหลังมรณะภาพ ได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพไป เมื่อวันที่ 6 ก.พ.65 ที่ผ่านมา กระทั่งล่าสุดช่วงสายของวันที่ 20 มีนาคม 2555 บรรดาญาติของหลวงพ่อเย็น "กรุสมบัติ"
นำโดยนายเอกชัย นฤทัย อายุ 54 ปี หลานชายพร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้าน ม.1 บ้านท่าตูม ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ พระลูกวัดที่จำวัดอยู่ที่วัดป่าทรงธรรม ได้รวมตัวกันเปิดกุฏิเจ้าอาวาส เพื่อหาเอกสาร กระทั่งพบเงินสดทั้งเก่า และใหม่ จำนวน 10.661.150 บาท (สิบล้านหกแสนหกหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบบาท ) พร้อมด้วยทรัพย์สินอีกจำนวนหนึ่ง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ พิสิฐศักดิ์ ผกก.สภ.ศรีมหาโพธิ เปิดเผยว่า ภายหลังพบเงินสดมากกว่า 10 ล้านบาท พระครูโสภณธรรมวินิจ รักษาการเจ้าอาวาส จึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อคอยดูแลเงินดังกล่าวของหลวงพ่อเย็น ซึ่งเรื่องนี้จะต้องเข้าไปดูว่า เงินดังกล่าวจะต้องตกเป็นของทางวัดหรือไม่ โดยขณะนี้ทราบมาว่า ทางเจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะจังหวัด ได้มีการหารือ และสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบแล้ว
"เรื่องนี้ ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะเป็นเงินจำนวนมาก และทางหลวงพ่อเย็นก็ไม่ได้ทำพินัยกรรมอะไรไว้ให้เป็นหลักฐาน เบื้องต้นทราบว่ามา จำนวนเงินที่พบได้มาจากจิตศรัทราของประชาชน และบางส่วนก็ได้มาจากการดูดวง ซึ่งในส่วนนี้จะต้องเข้าไปตรวจสอบอีกครั้ง" ผกก.สภ.ศรีมหาโพธิ กล่าว
พ.ต.อ.วิวัฒน์ กล่าวอีกว่า ปัจจัยที่พบในกุฎิ "หลวงพ่อเย็น" เบื้องต้นพบว่า ส่วนใหญ่ได้จากกิจนิมนต์ และการบริจาคจากผู้มีจิตรศรัทรา รวมทั้งการดูดวงให้กับสาธุชนทั่วไป แต่ด้วยความที่ท่านเป็นพระสมถะ จึงให้เป็นหน้าที่ของ คณะกรรมการวัดเป็นผู้ดูแล จึงทำให้ท่านไม่ได้สนใจกับปัจจัยที่ญาติโยมถวาย เมื่อได้มาก็นำมาวางทิ้งไว้ในกุฏิ
ส่วนคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมา ประกอบด้วย ประกอบด้วย 1.พระครูโสภณธรรมวินิศ 2.นายสมบัตร จิตรอยู่ 3.นายประสิทธิ์ นฤทัย 4.นางประภาภรณ์ ซึ่งทั้งสามเป็นน้องของเจ้าอาวาสที่มรณภาพ ส่วนพระครูโสภณธรรมวินิศเป็นรักษาการ โดยมีการรวบรวมเงินทั้งหมดไปฝากไว้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซี ศรีมหาโพธ์ จ.ปราจีนบุรี
"สำหรับเรื่องเงิน "กรุสมบัติ" 10 ล้านบาท ที่พบในกุฏิของ "หลวงพ่อเย็น" หากมีปัญหาถึงขั้นการฟ้องร้องกัน ก็จะกลายเป็นคดีแพ่ง ซึ่งตำรวจในฐานะที่เป็นกลาง ก็จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะการได้มาของทรัพย์ และวัตถุประสงค์ของผู้ที่ให้ หรือผู้ที่บริจาค ว่ามีจุดประสงค์ใดเป็นหลัก"
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับประมวลกฎหมาายแพ่งและพาณิชย์ ระบุเอาไว้ว่า มาตรา 1623 ทรัพย์สินของพระภิกษุ ที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัด ที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้น จะได้จำหน่ายไปในระหว่างชีวิต หรือโดยพินัยกรรม