ทันทีที่ แพทองธาร ชินวัตร หรือ "อุ๊งอิ๊ง" บุตรสาวคนสุดท้องของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ออกมาเคลื่อนไหวด้วยการรับตำแหน่ง "หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย" ในการจัดกิจกรรม "ครอบครัวเพื่อไทย : บ้านหลังใหญ่ หัวใจเดิม" ภายในศูนย์ประชุมมณฑาทิพย์ จังหวัดอุดรธานี ทำให้ สปอตไลท์ทางการเมืองสาดส่องมาที่ "อุ๊งอิ๊ง" อีกครั้ง
เป็นการสาดส่องที่ไม่แพ้กับการประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 64 โดย "อุ๊งอิ๊ง" ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย
เพราะไม่เพียงแต่นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เกี่ยวกับตำแหน่ง "ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย" มาถึงตำแหน่ง "หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย" ตามที่พรรคเพื่อไทยพยายามปลุกปั้นตำแหน่งต่างๆให้ บุตรสาวอดีตนายกฯทักษิณแบบเรียบๆเคียงๆขี่ม้ารอบค่าย
เพราะแต่ละตำแหน่งล้วนบ่งบอกถึงการพยายามสร้างบทบาทนำทางการเมืองให้ "อุ๊งอิ๊ง" โดดเด่นอย่างสม่ำเสมอ
คงไม่แปลกที่ บุตรสาวอดีตนายกฯ รายนี้ พยายามบ่ายเบี่ยงตอบคำถามตรงๆ เกี่ยวกับแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย โดยรอให้มีการยุบสภาเสียก่อน
อีกเช่นกัน ในแต่ละบทตอนของการเคลื่อนไหวจัดหนักจัดเต็มเพื่อให้สปอต์ไลท์สาดส่องออกมาเป็นข่าวหน้าหนึ่งพาดหัวตัวไม้
จากเมื่อวันที่ 28 ต.ค.64 "แพทองธาร" เคยประกาศลั่นผ่านเวทีขอนแก่น
"ในฐานะคนไทยและลูกของคุณทักษิณที่ไม่เคยลืมพี่น้องคนไทย และคนไทยก็ไม่เคยลืมพ่อ ซึ่งพ่อหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะกลับมากราบแผ่นดินไทยอีกครั้ง"
แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มี.ค.65 หรือผ่านมาห้าเดือนให้หลัง คำประกาศที่อยากพาพ่อกลับมากราบแผ่นดินไทยก็เปลี่ยนไป
"เรื่องของคุณพ่อ (ทักษิณ ชินวัตร ) ที่ประกาศจะกลับประเทศเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวที่ตั้งใจจะกลับมาเลี้ยงหลานเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพรรคเพื่อไทย"
อย่างที่กล่าวไว้ แต่ละห้วงจังหวะการเคลื่อนไหวของ "อุ๊ง อิ๊ง" บุคคลที่กำลังถูกขับเน้นจากคนแดนไกลให้ลุ้นเก้าอี้นายกฯ ต้องมีการตระเตรียมบทแถลง การให้สัมภาษณ์ หักล้างจุดอ่อนของพรรคเพื่อไทยและตนเอง ให้กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบทางการเมือง
แต่ทว่า กลับมีอยู่ประเด็นหนึ่งและเป็นประเด็นสำคัญ ที่"อุ๊ง อิ๊ง"ไม่สามารถหาคำอธิบายหักล้างได้สำเร็จ นั่นคือ กรณีการสอบเอ็นทรานซ์ เข้ามหาวิทยาลัย ในปี 2547 ที่แม้ผ่านมา 18 ปี ก็ยังเป็นปมปริศนาคาใจประทับตราไว้ในแวดวงอุดมศึกษา
ก่อนหน้านี้ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร เคยโพสต์ เฟซ บุ๊ก ว่า ปมปริศนาความไม่เสมอภาคและความอยุติธรรมทางการศึกษาในปีพ ศ 2547 กรณีข้อสอบ Entrance ปี 47 รั่ว พร้อมขึ้นข้อความว่า
"แพทองธาร" คะแนนสูงมหัศจรรย์
เมื่อคะแนน Ent ครั้งนั้นออก
ผลการสอบของลูกสาวนายกฯ เทียบกับครั้งแรกตะลึง
ภาษาไทย จาก 52 เพิ่มเป็น 72
สังคม จาก 41.25 เพิ่มเป็น 67.5
ภาษาอังกฤษจาก 64 เพิ่มเป็น 84
คณิตศาสตร์ 2 จาก 27 เพิ่มเป็น 63
ครั้งนั้น "แพทองธาร ชินวัตร" โพสต์ข้อความแอปฯ Instagramชื่อ@ingshin21 ในโหมดสตอรี่ตอบคำถามถึงกรณีถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่วปี 2547ในช่วงที่เจ้าตัวสอบเข้าคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า จุฬาฯเส้นเข้าได้ด้วยเหรอ คำถามบางทีต้องใช้วิจารณญาณด้วย สอบเข้าไปเอง อ่านหนังสือ เรียนพิเศษเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนเด็กที่เตรียมเอ็นทรานซ์ในสมัยนั้นทุกคน
"ขอบคุณทุกคนครับ ขอบคุณทุกกำลังใจด้วยนะ สบายมาก เรื่องนี้เก่าไปมาก เค้าสอบสวนกันจบเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนแล้ว จะ 20 ปียังนะ ยังต้องขุดแหละ เดี๋ยวไม่มีสีสันไปทำอาหารให้ลูกดีกว่า วันเสาร์แล้ว" แพทองธาร" ระบุ
คำอธิบายของ"แพทองธาร" ดูจะไม่ได้ทำให้สังคมเกิดความกระจ่างชัดหรือช่วยไขความคาใจ
ตรงกันข้าม แวดวงนักวิชาการ นักการศึกษา พยายามค้นหาเบื้องหน้าเบื้องหลังมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ เพื่อหาทางแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดรอยด่างพร้อยในวงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ดีกว่า ตัดบทจบสั้นๆห้วนๆ แบบที่ "อุ๊งอิ๊ง" บุตรสาวของคนแดนไกลที่กำลังปลุกปั้นไขว่คว้าเก้าอี้ผู้นำประเทศ
"ไชยันต์ ไชยพร" คือ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ประจำสถาบันที่ "อุ๊งอิ๊ง"สอบเข้า ได้ค้นหารายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงขณะนั้นมาตีแผ่โดยสรุปให้เข้าใจง่าย
ด้วยเนื้อหาดังนี้
ศ.ร.ต.อ.วรเดช จันทรศร เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เปิดซองต้นฉบับการ์ดข้อสอบ วิชาภาษาไทยและ วิชาสังคมศึกษาก่อนส่งให้คณะอนุกรรมการพิมพ์ข้อสอบ
ผลสรุปเอ็นทรานซ์รั่ว “ทักษิณ-อดิศัย”ต้องรับผิดชอบ(14 มิ.ย.47)
สรุปเอ็นทรานซ์รั่ว "ทักษิณ-อดิศัย"ต้องรับผิดชอบ
กรณีข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเอ็นทรานซ์รั่วที่ปรากฎขึ้นในรัฐบาลชุดนั้นถือเป็นรอยด่างให้กับวงการศึกษาไทยครั้งใหญ่ ทำให้ความเชื่อมั่นศรัทธาต่อระบบการสอบเอ็นทรานซ์ที่เคยได้รับความเชื่อถือศรัทธามานานนับสิบปีต้องสั่นคลอนอย่างหนัก
ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต่างยืนยันว่า "ข้อสอบไม่รั่ว" รวมทั้งแสดงพฤติกรรมปกป้องคนผิดมาตลอด
เมื่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุด นายสุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธาน มีข้อสรุปว่า "ข้อสอบรั่ว"
ศูนย์วิจัยฯ พรรคประชาธิปัตย์ ขณะนั้น เห็นว่าเมื่อผลสรุปออกมาแบบนี้ ทั้งนายกฯทักษิณ และ รมต.อดิศัย ต้องแสดงรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลสรุปคณะกรรมการสอบสวนฯ ตบหน้า “ทักษิณ-อดิศัย”
ก่อนหน้านี้เมื่อเกิดเหตุการณ์อื้อฉาว สังคมตั้งข้อสงสัยเรื่องข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว เพราะมีการเปิดเผยพฤติกรรมของข้าราชการระดับสูงบางคน โดยเฉพาะ ร.ต.อ.วรเดช จันทรศร อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(ก.อ.) ว่าไม่โปร่งใส มีการเปิดดูข้อสอบหรือนำข้อสอบไปเก็บไว้ในห้องทำงาน
ในครั้งนั้นบรรดานักเรียน ผู้ปกครองรวมทั้งประชาชนทั่วไปเกิดความสงสัยและเรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาโดยเร็ว
แต่ปรากฎว่า ได้รับการขัดขวางทุกวิถีทางทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะนายกฯทักษิณ และรมต.อดิศัยต่างออกมาปฏิเสธ และเห็นว่าไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแต่อย่างใด
อีกทั้งในบางครั้งยังออกมาพูดในทำนองว่าเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นเป็นเกมการเมืองหรือมีบางกลุ่มต้องการสร้างกระแสเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อกระแสสังคมเริ่มกดดันขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รัฐบาลทนฝืนกระแสต่อไปไม่ไหว ก็มีการย้าย ร.ต.อ.วรเดช ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษา แทนที่จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงให้คลายความสงสัยกับสังคม หรือยังมีการตบรางวัลความดีความชอบตามระเบียบสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) เพิ่มให้อีก 2 ขั้น
ที่สุดแล้วเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้จึงต้องยอมแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และมีข้อสรุปในเวลาต่อมาว่า "ข้อสอบรั่ว"
รวมทั้งยังระบุว่า การกระทำของ ร.ต.อ.วรเดช เป็นการไม่ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 ข้อ 30
เพราะในรายงานการสอบสวนยังชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนอีกว่า ร.ต.อ.วรเดช เป็นผู้เปิดดูซองข้อสอบและเปลี่ยนแปลงสถานที่เก็บข้อสอบถึงสองครั้ง
พฤติกรรมดังกล่าวของ ร.ต.อ.วรเดช ทางคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงยังระบุว่า มีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ฐานปฏิบัติราชการไม่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการและมติคณะรัฐมนตรี ไม่ปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการตามมาตรา 85และมาตรา 91 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 และมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่
ดังนั้น เมื่อรายงานผลการสอบสวนออกมาตรงกันข้ามกับท่าทีและคำยืนยันของผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาล
สังคมจึงต้องการรู้ว่า ทั้งสองคนดังกล่าวจะแสดงความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง
"อดิศัยท้าทายสังคม "ตัดตอน" ผลสอบเอ็นทรานซ์รั่ว"
หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า อะไรคือสาเหตุจูงใจให้ ร.ต.อ.วรเดช และ รมต.อดิศัย ถึงกล้าแสดงพฤติกรรมที่ท้าทายสังคมมาตลอด
อย่างไรก็ดี ถ้าหากมองย้อนไปในอดีตแล้วก็สามารถเชื่อมโยงได้ทันทีจากคำพูดของนายกฯทักษิณ ที่เคยกล่าวว่า จะให้ นายอดิศัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไปจนครบ 4 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการประกันเก้าอี้กันไว้ล่วงหน้า ทำให้หลายฝ่ายเข้าใจนี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ รมต.อดิศัย ไม่สนใจต่อสังคมมากนัก
ประกอบกับเวลานี้สิ่งที่สังคมยังตั้งข้อสงสัยและไม่พอใจคือ ความพยายามในการบิดเบือนข้อสรุปของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจาก นายอดิศัย โพธารามิก ที่เคยออกมาแถลงรายงานผลการสอบสวนเพียงบางส่วนโดยสรุปเหลือเพียง 2 หน้า จากจำนวนทั้งหมด 15 หน้า
การแถลงดังกล่าวของ นายอดิศัย ทำให้หลายฝ่ายรวมทั้ง นายสุเมธ ถึงกับแสดงความผิดหวังพร้อมทั้งระบุว่า นายอดิศัยพยายาม "ตัดตอน" ผลการสอบสวนพฤติกรรมการ "อุ้ม" พวกเดียวกันจากผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีที่ นายอดิศัย แต่งตั้ง นายวีระศักดิ์ วงศ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) ซึ่งเป็นคนของกระทรวงศึกษาธิการด้วยกันเป็นประธานการสอบสวนวินัย ร.ต.อ.วรเดช แทนที่จะให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นผู้สอบสวนตามคำแนะนำของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ
พฤติกรรมของ นายอดิศัย ดังกล่าว นอกจากบ่งบอกถึงความไม่ต้องการให้มีการแสวงหาความจริงกรณีข้อสอบรั่ว รวมทั้งมีท่าทีปกป้องผู้กระทำผิดอย่างชัดเจนดังกล่าวแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เข้าใจในด้านการศึกษาและการบริหารทางการศึกษา
ซึ่งกรณีนี้นักวิชาการด้านกฎหมายตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ ระบุว่า ร.ต.อ.วรเดชมีความผิดวินัยร้ายแรง แต่ นายอดิศัย ระบุว่า แค่มีความผิดวินัยเท่านั้น หรือกรณีการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการซี 11 นั้นโดยหลักการแล้วจะต้องพักราชการผู้ถูกสอบวินัยร้ายแรงเอาไว้ก่อน
อีกทั้งผู้ที่ทำหน้าที่ดำเนินการสอบสวนนั้นต้องไม่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้มีส่วนได้เสียอีกด้วย
นักวิชาการจากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่น นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ถึงกับระบุอย่างตรงๆ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2547 ว่า สาเหตุที่นายอดิศัยไม่ยอมเปิดเผยรายงานผลการสอบสวนทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า มีเงื่อนงำและมีการบิดบังความจริงต่อสาธารณชนอย่างแน่นอน
"องค์กรภาคประชาชนไม่ปล่อยคนผิดลอยนวล"
จากพฤติกรรมพยายามปิดบังซ่อนเร้นดังกล่าวของกระทรวงศึกษาธิการทำให้เกิดการรวมพลังเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กรประชาชนหลายองค์กรที่กำลังเคลื่อนไหว 2 แนวทางตามขั้นตอนคือ
แนวทางแรก ยื่นเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเพื่อให้วินิจฉัยสั่งการให้ นายอดิศัยเปิดเผยรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ
แนวทางที่สองนั้น จะใช้มาตรการทางสังคมโดยจะทำหนังสือถึงนายอดิศัย ขอให้ส่งรายงานผลการสืบสวนข้อเท็จจริงไปให้ ก.พ.เพื่อดำเนินการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงกับ ร.ต.อ.วรเดช
เนื่องจากเห็นว่า นายอดิศัยมีส่วนได้เสียจึงไม่มีสิทธิ์ที่ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ร.ต.อ.วรเดช
นอกจากนี้ยังจะปรึกษาไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงได้หรือไม่ และหากถึงที่สุดแล้วยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ก็จะใช้มาตรการตั้งโต๊ะเพื่อล่ารายชื่อ ร.ต.อ.วรเดช ให้ออกจากราชการ และขับไล่ นายอดิศัย ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการต่อไป
สรุป
ความเคลื่อนไหวของสังคมที่เกิดขึ้นเวลานั้นเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกรณี "ข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว" เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนั้น
ที่สำคัญการกระทำผิดและการปกป้องการกระทำในครั้งนี้ถูกจับได้ไล่ทัน ด้วยผลการสอบสวนของคณะกรรมการที่กระทรวงศึกษาธิการตั้งขึ้นมาเอง
ฉะนั้น การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและนายกรัฐมนตรีขณะนั้น นิ่งเฉยไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบใดๆ เหมือนกับกรณีอื่นๆ เป็นสิ่งที่สังคมรับไม่ได้