กรณีมีคำเตือนจาก นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ปีที่แล้วมีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเสียชีวิตทั้งหมด 6 คน แต่ปีนี้ตั้งแต่ต้นปีถึงขณะนี้เพียงแค่ 3 เดือน มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเสียชีวิตไปแล้ว 3 คน โดยเป็นโรคไข้เลือดออกร่วมกับโควิด-19 และยังพบอีกว่าทั้ง 3 ราย ที่เสียชีวิตนั้นได้รับยาจากร้านยา หรือซื้อยากินเอง เนื่องจากสับสนกับอาการ
เช่นเดียวกับ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้พบผู้ติดเชื้อโควิดส่วนใหญ่ร้อยละ 50 ไม่มีอาการป่วย ส่วนที่มีอาการร้อยละ 50 จำแนกอาการย่อยได้คือ ไอและเจ็บคอ ร้อยละ 50 อ่อนเพลีย เป็นไข้ ร้อยละ 30-40 และถ่ายเหลว ร้อยละ 10 ทั้งนี้ อาการโควิดใกล้เคียงกับโรคไข้หวัดแล้ว แต่ช่วงนี้ที่ต้องระวังเพิ่มขึ้นอาจจะเจอโรคไข้เลือดออกได้ ซึ่งจะมีอาการไข้ อ่อนเพลียเหมือนๆกัน ดังนั้นหากสงสัยว่าตัวเองมีอาการคล้ายไข้หวัด หรือแม้แต่ถ่ายเหลว เบื้องต้นให้ตรวจ ATK ได้ทันที หากเป็นผลลบให้สังเกตอาการตัวเองใน 48 ชั่วโมง ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ไปโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการโรคอื่นๆ เช่น ไข้เลือดออก
พญ. ธิดารัตน์ แก้วเงิน แพทย์โรงพยาบาลนครธน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างอาการโควิด19 และไข้เลือดออก ไว้ว่า
สาเหตุของโรคไข้เลือดออกและCOVID-19 เกิดจากอะไร?
ไข้เลือดออก : เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ มี 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค
COVID-19 : เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่2019 (SARS-CoV-2) สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ทางละอองฝอย เสมหะน้ำลาย ผ่านการสัมผัสเยื่อบุตา จมูก ปาก
อาการและการดำเนินโรคทั้งสองโรคนี้แตกต่างกันอย่างไร?
ไข้เลือดออก : ไข้มักสูงลอยนานประมาณ 2-7วัน (อุณหภูมิมากกว่า38.5 oc) หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา บางรายอาจมีถ่ายดำหรือถ่ายเป็นเลือดถ้ารุนแรง อาจเห็นจุดเลือดออกสีแดงเล็กๆ ตามผิวหนัง มักไม่พบอาการไอน้ำมูก หายใจลำบากหรือปอดอักเสบ
COVID-19 : ไข้ต่ำถึงสูง (มากกว่า 37.5 oc) ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ ไอแห้งหรือมีเสมหะ มีน้ำมูก หอบเหนื่อยหายใจลำบาก ปอดอักเสบในรายที่รุนแรง ท้องเสียมีในบางราย ไม่พบจุดเลือดออกตามผิวหนัง
สามารถวินิจฉัยได้อย่างไร?
นอกจากซักประวัติอาการ และอาการแสดงแล้ว จะมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการมาช่วยในการวินิจฉัยโรคด้วย ดังนี้
ไข้เลือดออก : จะมีการตรวจเพิ่ม เช่น ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพื่อหาความผิดปกติเม็ดเลือดขาว ความเข้มข้นเลือดและจำนวนเกล็ดเลือด นอกจากนี้ยังมีการตรวจหาไวรัสเดงกี่ด้วยวิธี PCR, การตรวจหา NS1 แอนติเจนของไวรัสซึ่งควรตรวจ ในช่วงวันแรกๆของไข้ การตรวจดูภูมิคุ้มกัน(แอนตีบอดีย์)ต่อเชื้อไวรัสเดงกี่ มักจะขึ้นหลังมีไข้ 4-5 วัน ปัจจุบันมีRapid test ซึ่ง อ่านผลเร็วใน 10-15 นาที
COVID-19 : วิธีมาตรฐานจะใช้วิธีการป้ายจมูกและคอ ส่งตรวจ RT-PCR เพื่อหาสารพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 อย่างไรก็ตามมีรายงานการเกิดผลบวกลวงในการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสเดงกี่ ในผู้ป่วย COVID 19 จึงอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความสับสนและล่าช้าในการวินิจฉัยโรค COVID-19
การรักษาทำอย่างไร?
ไข้เลือดออก : ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออก การรักษาจึงเป็นไปตามอาการ มีไข้ให้เช็ดตัวและรับประทานยาพาราเซตามอลลดไข้เท่านั้น ห้ามใช้แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อย อาจให้ดื่มนม นํ้าผลไม้ หรือนํ้าเกลือแร่ร่วมด้วย
COVID-19 : หากอาการไม่รุนแรง จะรักษาแบบประคับประคองตามอาการ ถ้าเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการปอดอักเสบจะพิจารณาให้ยาหลายตัวร่วมกัน ซึ่งยาที่ใช้ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ารักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019ได้โดยตรง ยังอยู่ในช่วงวิจัยและทดลองยา ยาที่ถูกนำมาใช้รักษาจึงเป็นยาที่รักษาไวรัสอื่น ๆ เช่น HIV ไข้หวัดใหญ่ มาลาเรีย เป็นต้น
ข้อแนะนำในการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคไข้เลือดออกและCOVID-19
โรคไข้เลือดออก : สามารถป้องกันได้ ด้วยการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย(ภาชนะที่อาจมีน้ำขัง)และป้องกันไม่ให้ยุงลายมากัดเราได้ เช่น นอนในมุ้ง หรือทาโลชั่นกันยุง
COVID-19 : เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกัน วิธีการป้องกันโรค COVID-19 ที่ดีที่สุดในปัจจุบันคือการป้องกันการสัมผัสกับเชื้อไวรัสโดย หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ขยี้ตา แคะจมูก และสัมผัสปาก พร้อมทั้ง
พญ. ธิดารัตน์ แก้วเงิน แพทย์โรงพยาบาลนครธน สรุปว่า อาการป่วยเบื้องต้นของทั้งสองโรคมีส่วนคล้ายกันอยู่บ้าง แต่หากเป็นโรค COVID-19 นอกจากจะมีไข้ ไอ แล้ว ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเมื่อยตามตัว ร่วมกับเหนื่อยหอบ หายใจลำบากร่วมด้วย หากมีอาการเหล่านี้แล้วไม่มั่นใจควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคจะดีที่สุด