กรณีนักเรียนชายชั้น ม.5 อายุเพียง 17 ปี ต้องมาจบชีวิตด้วยการยิงตัวเอง โดยเชื่อว่ามีแรงจูงใจมาจากการถูกข่มขู่ให้ผู้เสียชีวิตโอนเงินให้กับคนร้าย แลกกับการไม่นำคลิปวิดีโอลับของผู้เสียชีวิตไปเผยแพร่ จนกระทั่งเป็นสาเหตุให้ผู้เสียชีวิตคิดสั้นนั้น
อาจารย์ พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร บอกกับ “เนชั่นทีวี” ว่า เหตุสลดที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของการแบล็คเมล์ซึ่งเคยอยู่ในรูปของจดหมาย โทรศัพท์ เปลี่ยนเป็นมาใช้แอปพลิเคชั่นในโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือ แสดงให้เห็นว่าการแบล็กเมล์ยังเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย แต่ใช้เครื่องมือในรูปแบบที่เปลี่ยนไป
สำหรับกรณีของนักเรียนชาย ม.5 ผู้ก่อเหตุใช้ขั้นตอนของการแบล็กเมล์ 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ
1. ปลอมตัวตนในโซเชียลมีเดีย (Social Media Masquerade) เพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อว่าผู้ที่ติดต่อด้วยคือผู้หญิง เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการหลอกล่อลำดับถัดไป
2. ใช้กลอุบายหลอกล่อให้เกิดกิจกรรมทางเพศกับตัวตนปลอม จนถึงขั้นให้ผู้ตายสำเร็จความใคร่และบันทึกภาพเอาไว้ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการโน้มน้าวให้เหยื่อหลงเชื่อชักชวนให้เหยื่อกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งจนเหยื่อตายใจและตกหลุมพรางในที่สุด
3. เป็นขั้นตอนของการแบล็คเมล์ซึ่งผู้ก่อเหตุจะใช้วิธีโทรศัพท์ข่มขู่เพื่อที่จะเปิดเผยข้อมูลลับของเหยื่อที่บันทึกไว้เพื่อให้เกิดความอับอาย วิธีการนี้มักเรียกกันว่า Doxing ซึ่งโดยทั่วไปมักเป็นการเปิดเผยชื่อบุคคล ที่อยู่ สถานะทางการเงิน รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ของเหยื่อสู่สาธารณะ ซึ่งในกรณีนี้คือข้อมูลภาพของเหยื่อที่ได้มีการบันทึกไว้ ซึ่งจะสร้างความเสียหายหรือความอับอายให้กับเหยื่อ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า โซเชียลมีเดีย หรือ สื่อสังคมออนไลน์นั้น นอกจากจะแทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวันของผู้คนในเชิงเป็นคุณประโยชน์แล้ว ยังสร้างความทุกข์อย่างแสนหาหัสแก่คนบางคนจนไม่สามารถหาทางออกได้ และต้องจบชีวิตในที่สุด
อาจารย์พันธ์ศักดิ์ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมักลอยตัวกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้แพลตฟอร์มของตน
เมื่อโซเชียลมีเดีย เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ผู้คนทั่วโลกต่างใช้โซเชียลมีเดียในลักษณะตามบุญตามกรรม ปราศจากการชี้แนะ จนสร้างปัญหามากมาย ไม่มีใครหยุดยั้งได้ เปรียบเหมือนผู้คนทั้งโลกขับรถโดยไม่มีใบขับขี่หรือขาดกติกามารยาทที่ชัดเจน แต่ยอมรับเงื่อนไขของเจ้าของแพลตฟอร์ม ด้วยการลงทะเบียนใช้งานได้อย่างอิสระ และเจ้าของแพลตฟอร์มแทบไม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของนักเรียนชาย ม.5 ที่เสียชีวิต
ทั้งๆ ที่แพลตฟอร์มต่างๆ ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้อง (Fact checking facility) ของ Content แต่ก็มักไม่ได้ผลอย่างสมบูรณ์ และไม่ครอบคลุมในแง่มุมอื่น โดยเฉพาะการตรวจสอบการปลอมแปลงตัวบุคคล ในกรณีการปลอมตัวจากเพศชายเป็นหญิงซึ่งยังไม่สามารถตรวจสอบได้ และไม่มีใครรับประกันว่าจะสามารถกระทำได้มากน้อยเพียงใด
ฉะนั้น พัฒนาการของอินเทอร์เน็ต หรือ Social web นอกจากจะทำให้ทุกคนมีพลังในการส่งเสียงให้คนทั้งโลกได้ยินแล้ว ยังสามารถทำร้ายได้ใครต่อใครได้อย่างง่ายดาย หากผู้นั้นไร้ภูมิคุ้มกันหรือรู้ไม่เท่าทันต่อบุคคลอื่นที่ใช้โซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มเดียวกัน เพื่อวัตถุประสงค์ในการหาประโยชน์ในทางมิชอบแก่ตัวเอง ถือเป็นบทเรียนของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ตลอดจนพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่ต้องหาทางระวังป้องกันกันเอง