เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565 สถาบันพระปกเกล้า จัดงานสัมมนา "วาระสตรีสากล : ทลาย “อคติ” ก้าวแรกและทันที" (International Women’s Day: Break The Bias) และผู้หญิงคือผู้เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองใหม่ โดยพิธีเปิดการสัมมนา ได้รับเกียรติจาก แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร ในฐานะนายกสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ
แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวว่า การมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม ให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เช่น ในด้านการเมือง และการบริหาร มี 132 ประเทศที่ใช้ระบบ Gender quota อย่างชัดเจนในกฎหมาย ซึ่งในประเทศไทยมีสัดส่วนผู้หญิงเข้าไปทำงานเป็นส.ส. ในช่วง 10 ปีที่ผ่าน เพิ่มเป็นร้อยละ 16 ยังถือว่าน้อยซึ่งเทียบกับสัดส่วนของสากล
“ถ้าเราสามารถทำเรื่องของงบประมาณที่ทำให้เห็นว่า จะทำให้เกิดความเข้มแข็งในการทำหน้าที่ของผู้หญิงในทุกบทบาท จะทำให้ค่อยๆลดมุมมอง และความเป็นอคติต่อเรื่องนี้ลงไปได้ ก็คิดว่าการผลักดันในสองเรื่องนี้ทั้งในเรื่อง การเมือง การบริหาร และจัดทำงบประมาณมิติของหญิง/ชาย คงจะทำให้หลักสิทธิพื้นฐานของบุคคลมีความเท่าเทียม”
ทางด้านของคุณสุนีย์ ศรีสง่าตระกูลเลิศ รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องอคติถือว่าเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการพัฒนาความก้าวหน้าของสตรี และความเสมอภาคระหว่างเพศ ประเทศไทยเองได้รับอนุสัญญาว่าด้วยขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ อีกทั้งยังมีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่เรายังมีอุปสรรคในบางประการแม้ประเทศไทยจะถูกจัดลำดับที่ 80 ทั้งหมด 189 ประเทศ ของสหประชาชาติ แต่เราก็ยังคงพบว่าในภาพรวม ประชากรหญิงในประเทศไทยมีจำนวนมากถึง 33.9 ล้านคน และมากกว่าผู้ชายถึง 1.6 ล้านคน แต่เมื่อเทียบแรงงานในตลาด กลับพบว่าผู้หญิงที่เป็นประชากรวัยแรงงานมีจำนวนมากถึง 29.4 ล้านคน แต่ในตลาดแรงงานสถิติผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชายมาก มีเพียง 17.63 ล้านคน
ในส่วนของช่วงบ่ายจะเป็นการสัมมนาในหัวข้อ “วาระสตรีสากล : ผู้หญิงคือผู้เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองใหม่ โดยได้รับเกียรติจากตัวแทนพรรคไทยสร้างไทย พรรคเสมอภาค พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. และผู้อำนวยการสำนักวิจัย และพัฒนา
คุณนาถยา แดงบุหงา ตัวแทนพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ชุมชนที่แออัด ถิ่นทุรกันดาร ไม่มีไฟ ไม่มีน้ำ การเป็นอยู่สุขลักษณะก็ไม่ถูกต้อง เราจึงอยากจะทำการเปลี่ยนแปลงให้เป็นรูปธรรมมากกว่าไปช่วยบริจาคให้เค้าแค่เพียงครั้งคราว เลยศึกษาด้านการเมืองว่าการจะช่วยเหลือเค้าต้องมาจากทางไหน รัฐทำอะไรให้ได้บ้าง ได้รับเลือกตั้งปี พ.ศ.2550 และ พ.ศ.2554 ได้เข้าช่วยเหลือพี่น้องในเขตพื้นที่ อย่างเช่น ผู้หญิงโดนลักพาตัว จนสามารถพากลับมาได้
ทางด้านคุณรฎาวัญ วงศ์ศรีวงศ์ หัวหน้าพรรคเสมอภาค กล่าวเพิ่มเติมว่า ประโยชน์ที่ผู้หญิงจะได้รับในภูมิทัศน์การเมืองใหม่ ผู้หญิงจะมีส่วนร่วมในการพิจารณากฎหมาย ผู้หญิงจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนโยบายสำคัญมากขึ้น ต้องกล้าเดินเข้าสู่การเมือง ไม่ว่าจะระดับท้องถิ่น หรือระดับชาตินั่นคือโอกาส และยกระดับไปยังผู้บริหาร ไปจนถึงการกำหนดนโยบายให้ได้ เราก็จะสามารถสร้างความเชื่อถือในความรู้ความสามารถของผู้หญิงได้ เราถึงมีองค์กรทั้งภาครัฐ และเอกชนพยายามที่จะเพิ่มสัดส่วนของนักการเมืองหญิงให้เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่คุณมุกดา พงษ์สมบัติ ตัวแทนพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ได้มีโอกาสช่วยองค์กรสตรี จึงได้ไปเห็นความเหลื่อมล้ำ ความไม่เสมอภาค ผู้หญิงแบบเรามีความสำคัญเพียงในบ้านแค่นั้นหรือ จึงจุดประกายให้ไปคุยกับผู้หญิงด้วยกัน ว่าเราต้องมีตัวแทนนะ ถ้าเราไม่มีตัวแทนไปเจรจา จะระดับไหนเค้าก็ไม่ฟังเรา แรงบันดาลใจคือความไม่เสมอภาค ความเป็นอยู่ของพี่น้อง จุดประกายให้เราต้องสู้ด้วยกัน
ทางฝั่งของคุณวรรณวิภา ไม้สน ตัวแทนพรรคก้าวไกล กล่าวว่า อยากจะแก้ไขทั้งในเชิงโครงสร้าง และในด้านกฎหมาย โดยเฉพาะในด้านแรงงาน และสวัสดิการ รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงด้วย ซึ่งเจาะจงเป็นประเด็นเฉพาะทางเลย ว่าเรามาเพื่อที่จะแก้ไขเรื่องนี้ที่เราเป็นผู้เสนอมานานนับ 10 ปี แล้วมันไม่เกิดผล ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราก็เลยมีเจตจำนงว่าเรามาเป็นผู้เล่นเอง มาแก้ไขด้วยตัวเอง เดินเรื่องด้วยตัวเอง เราเชื่อว่าสภา เป็นกลไกหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงได้
“การเมืองไม่ใช่แค่เฉพาะการเมืองในสภา ถือว่าทำการเมืองในภาคประชาชนมาโดยตลอด หลังจากจบมหาลัย ก็ได้ทำงานในสังคมในด้านสุขภาพ สมุนไพร สิ่งที่ทำให้สนใจเรื่องทางสังคมคือหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ว่าด้วยเรื่องอุดมคติ ที่พูดถึงในเรื่องอุดมคติที่เกี่ยวพันธ์กับเรื่องความดี ความจริง และความงาม มันเป็นเรื่องที่ทำให้เรา ไม่ว่าจะมีอุดมการณ์อะไร ถ้าเรามีอุดมคติ เราจะมีความสนใจในเรื่องของการทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม”
คุณรสนา โตสิตระกูล ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร กล่าว
ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัย และพัฒนา กล่าวเพิ่มเติมว่า คิดว่าประชาธิปไตยมันไม่ได้มีแค่แบบตัวแทน หรือทางตรงเท่านั้น แต่เราสามารถเอาไปใช้ในมิติของความเสมอภาคได้ เรามองว่ามันมาจากค่านิยมของแต่ละคน ว่าใส่ใจเรื่องความเสมอภาคมากน้อยแค่ไหน ถ้าหากผู้หญิงเข้าไปสู่เส้นทางทางการเมืองแล้ว ผู้หญิงจะมีความคิดที่ละเอียดอ่อน ต่อมุมมองนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคุณภาพของสังคม และคุณภาพชีวิต เราต้องสร้างพลเมืองที่ตื่นรู้ พลเมืองที่ใส่ใจกับเรื่องของบ้านเมือง พลเมืองนั้นก็ต้องเป็นผู้หญิงด้วยส่วนนึง นั่นคือส่วนที่สำคัญ