21 กุมภาพันธ์ 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เรื่องการรักษาโควิด-19 ว่า ได้รับรายงานสถานการณ์จาก นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ทุกเช้า ซึ่งในเรื่องของสถานการณ์เตียงล่าสุด ได้รับการยืนยันว่าระบบสาธารณสุขยังมีความสามารถในการให้การดูแลผู้ติดเชื้อ
สำหรับเกณฑ์ที่พิจารณามาจากอาการเป็นหลักว่า อาการระดับใดจะได้รับการดูแลอย่างไร หากไม่มีอาการ ไม่มีโรคร่วมก็จะเข้าระบบดูแลที่บ้าน (Home Isolation : HI) หรือ ดูแลในชุมชน (Community Isolation : CI) ซึ่งกทม.ก็ได้ยืนยันกับสธ.ว่ามีความพร้อมในเรื่องของ HI/CI
ทั้งนี้ ได้สั่งการไปยังเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้เพิ่มคู่สายด่วนการรับแจ้งผู้ติดเชื้อเพื่อเข้าสู่ระบบ HI/CI และดำเนินการตามมาตรการ ส่วนกรณีการปรับการตรวจหาเชื้อกรณี Test&Go ให้เป็นวิธี PCR ครั้งเดียวนั้น ก็อยู่ระหว่างพิจารณา
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุขแล้ว โดย ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2565 เป็นต้นไป การรักษาผู้ติดโควิด-19 จะเป็นไปตามสิทธิรักษาพยาบาลที่จะเข้ารับการรักษาฟรีได้ในรพ.ที่แต่ละคนมีสิทธิ์อยู่ แต่หากมีอาการป่วยฉุกเฉินวิกฤติตามเกณฑ์ของการรักษาฟรีทุกที่ (UCEP) ก็ยังสามารถรักษาฟรีได้ทุกที่เช่นเดิม
นอกจากนี้ หากติดเชื้อแล้วมีโรคร่วม หรือมีอาการอยู่ในกลุ่มสีเหลือง สีแดง ก็ยังสามารถใช้สิทธิรักษาได้ทุกที่ตามสิทธิ UCEP พลัส ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำเกณฑ์
“ประชาชนยังได้รับการรักษาฟรีเหมือนเดิม โดยสามารถเข้ารับการรักษาได้ที่รพ.ตามสิทธิ์ ”
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ทั้งหมดเป็นการปรับตามสถานการณ์ ตามขั้นตอน ตามมาตรฐานเพื่อให้ใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งการให้บริการประชาชนไม่ได้กระทบ เป็นการรักษาฟรีตามสิทธิเหมือนปกติ เป็นการปรับตามสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนถ้าติดเชื้อแล้วไม่มีอาการ แต่อยากอยู่ในรพ.อื่นที่นอกเหนือจากสิทธิ์รักษาฟรีของตนเอง ก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง
ขณะเดียวกัน กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้มาหารือเพื่อขอให้เพิ่มการใช้ยาฟ้าทะลายโจรให้มากขึ้น เนื่องจากผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการถ้ารับยาฟาวิพิราเวียร์อาจจะเกินขนาน แต่หากได้รับฟ้าทะลายโจรก็จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ควรจะให้ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการได้รับฟ้าทะลายโจร ซึ่งก็จะมีเพิ่มอีกหลาย 10 ล้านเม็ด ให้สนับสนุนจากผู้ผลิตภายในประเทศ ไม่ให้มีการนำเข้า โดยจะเป็นการให้ไปพร้อมกับชุดดูแลผู้ป่วย HI แต่จะต้องเป็นไปตามดุลยพินิจของแพทย์ที่ติดตามอาการผู้ติดเชื้อผ่านระบบเทเลเมดิซีน
ขอบคุณข้อมูล : กรุงเทพธุรกิจ