เป็นอีกหนึ่งข่าวเศร้าของวงการบันไทย สำหรับการจากไปของ “ต้อย เศรษฐา ศิระฉายา” นักแสดงอาวุโส ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งเสียชีวิตในวัย 77 ปี ด้วยโรคมะเร็งปอด
ย้อนประวัติดาวจรัสฟ้าสู่วันที่ล่วงลับ
“เศรษฐา ศิระฉายา” หรือ ต้อย เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2487 การศึกษาจบมัธยมปลายจากโรงเรียนวัดบวรนิเวศเศรษฐา จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ หลักสูตรโครงการพิเศษ สาขาวิชาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง ระดับปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ สาขาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต MBA มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีและปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุประมาณ 16 ปี ด้วยการขนเครื่องดนตรีในวงดนตรีตามคำชักชวนของน้าชายของเขา สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ อดีตพระเอกภาพยนตร์ชื่อดังในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ต่อมา “เศรษฐา” ได้ฝึกหัดทักษะด้านดนตรีแบบครูพักลักจำ จนกระทั่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักร้องตามสถานบันเทิงต่าง ๆ เช่น ตั้งวงหลุยส์กีต้าร์เกิร์ล กระทั่งได้รวมตัวกับเพื่อน ๆ นักดนตรีตั้งวงดนตรี Holiday J-3 ร่วมกับวินัย พันธุรักษ์, พิชัย ทองเนียม, อนุสรณ์ พัฒนกุล และสุเมธ อินทรสูต ต่อมา เปลี่ยนชื่อเป็น Joint Reaction
และเปลี่ยนอีกครั้งในชื่อ ดิอิมพอสซิเบิ้ล (The Impossibles) ซึ่งเป็นชื่อการ์ตูนชื่อดังของอเมริกาในสมัยนั้น โดยเขารับบทบาทเป็นนักร้องนำ ปี พ.ศ. 2512 ดิอิมพอสซิเบิ้ลสามารถคว้าถ้วยพระราชทานรางวัลชนะเลิศการประกวดวงสตริงคอมโบ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ส่งผลให้เริ่มเป็นที่นิยมและเป็นจุดเปลี่ยนให้เศรษฐาได้เข้ามาสัมผัสโลกภาพยนตร์เป็นครั้งแรก เมื่อเขาและเพื่อน ๆ ได้รับการทาบทามจาก เปี๊ยก โปสเตอร์ ให้มาร่วมบรรเลงเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง โทน (2513)
“ดิอิมพอสซิเบิ้ล” ยังคงชนะเลิศการประกวดวงสตริงคอมโบอีก 2 ครั้งติดต่อกัน หลังจากนั้นและได้บรรเลงเพลงประกอบภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง อาทิ ดวง (2514), สวนสน (2514), ระเริงชล (2515), ตัดเหลี่ยมเพชร (2518) ฯลฯ กลายเป็นวงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ปี พ.ศ. 2518 หลังกลับมาจากการไปทัวร์ที่ต่างประเทศ เศรษฐาก็ได้รับการชักชวนจาก จุรี โอศิริ ให้มาแสดงภาพยนตร์อย่างจริงจังครั้งแรกคือเรื่อง ฝ้ายแกมแพร (2518) แต่ก็ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมมาครองจากผลงานดังกล่าวได้ทันที
ปี พ.ศ. 2519 “ดิอิมพอสซิเบิ้ล” ประกาศยุบวงอย่างเป็นทางการ “เศรษฐา” จึงก้าวเข้าสู่โลกมายาอย่างเต็มตัว มีบทบาทโดดเด่นทั้งการเป็นพิธีกรและนักแสดง นับเป็นดารายอดฝีมือคนหนึ่งซึ่งสามารถรับบทบาทได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นบทดี บทร้าย บทตลก ส่งผลให้มีผลงานออกมามากมายจวบจนปัจจุบัน
โดยเรื่องที่โดดเด่นที่สุดเรื่องหนึ่งคือ ชื่นรัก (2522) ซึ่งเขาได้รับบทพระเอกประกบคู่กับ อรัญญา นามวงศ์ นางเอกชื่อดัง เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ให้ทั้งคู่กลายเป็นคู่ชีวิตกันในเวลาต่อมา และมีบุตรสาวคือ “อีฟ - พุทธธิดา ศิระฉายา”
“ต้อย เศรษฐา” ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) ในปี พ.ศ. 2554
ต่อมากลางปี 2562 “ต้อย เศรษฐา” ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งปอด และทำการเข้ารับการรักษานับตั้งแต่นั้นมา ต่อมาในปี 2564 “ต้อย เศรษฐา” ได้ติดเชื้อโควิด-19 และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และได้เข้ารับการรักษาโควิด – 19 โดยในขณะนั้นหลายคนได้ส่งกำลังใจให้ครอบครัว ศิระฉายา เป็นอย่างมากเนื่องจาก เนื่องจากนักแสดงอาวุโสมีโรคประจำตัวคือโรคมะเร็งปอด
ซึ่งในวันที่ 20 เม.ย. 64 ลูกสาว อี๊ฟ พุทธธิดา ได้อัปเดตอาการของคุณพ่อว่า ตอนนี้เชื้อลงปอด และต้องอยู่ในความดูแลของหมออย่างใกล้ชิด เนื่องจากคุณพ่อเพิ่งทำคีโมมาเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่รักษาตัวในโรงพยาบาลหลายสัปดาห์ ต้อย เศรษฐา ก็หายจากอาการป่วยโควิด และได้กลับบ้านด้วยสีหน้าท่าทางที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและมีความสุขมาก
“ต้อย เศรษฐา” ต้องกลับไปทำคีโมอีกครั้งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาหลังจากหยุดพักไป 3 เดือน เนื่องจากก้อนที่ปอดที่เคยมีขนาด 8 ซม. ตอนเริ่มต้นรักษา ลดลงเหลือประมาณ 4 ซม. ลดไปแล้วครึ่งนึงและยังไม่ได้มีการเติบโตขึ้น
ตลอดระยะเวลาที่รักษา นักแสดงอาวุโสมีกำลังใจที่ดีจากครอบครัว อีกทั้งยังได้ได่รับพระราชทานกำลังใจโดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คุณจันทนี ธนรักษ์ เป็นผู้แทนพระองค์ พระราชทานแจกันดอกไม้และกระเช้าของเยี่ยม ให้แก่เศรษฐา ศิระฉายา ศิลปินแห่งชาติ
จนกระทั่ง “ต้อย เศรษฐา” ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ หลังจากที่รักษาตัวมาระยะหนึ่ง สร้างความเศร้าเสียใจให้กับครอบครัวศิระฉายา วงการบันเทิง และแฟนคลัย ได้สูญเสียอีกหนึ่งบุคคลที่ทรงคุณค่าของวงการบันเทิงไปอย่างไม่มีวันกลับ