18 มกราคม 2565 นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากผลการทดสอบภูมิคุ้มกันวัคซีนต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และ โอมิครอน จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์หลังฉีดวัคซีน โดยใช้ไวรัสจริที่แยกได้จากผู้ป่วย และปฏิบัติการภายในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 ด้วยวิธี Plaque Reduction Neutralization Test หรือ PRNT
การทดสอบดำเนินด้วยวิธีการเจาะเลือดของผู้รับวัคซีนโควิด-19 มาแล้ว 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่ภูมิคุ้มกันขึ้นมากพอ นำมาปั่นแยกเอาซีรั่มมาทดสอบกับไวรัสโควิด-19ที่เพาะเลี้ยงในจานทดลอง โดยจะเจือจางซีรั่มครั้งละเท่าตัวจนกว่าจะถึงระดับที่ทำลายเชื้อไวรัสลงได้ครึ่งหนึ่ง หรือ NT50 ซึ่งเป็นระดับสุดท้ายที่น่าจะป้องกันการติดเชื้อได้
ทั้งนี้ ได้ทดสอบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่มีการใช้ในประเทศไทย 8 สูตร ดังนี้..
ผลการทดสอบ พบว่า วัคซีนทุกสูตรจัดการกับเชื้อสายพันธุ์เดลตา ได้ค่อนข้างดี แต่ลดลงเมื่อเจอกับสายพันธุ์โอมิครอน สอดคล้องกับข้อสันนิษฐานว่า..
“โอมิครอน” น่าจะหลบวัคซีนได้ดีกว่า “เดลตา” โดยเฉพาะการฉีดวัคซีน 2 เข็มระดับภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนไม่สูงมากนัก แต่ยังสามารถป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้
ส่วนการฉีดเข็มกระตุ้นหรือเข็ม 3 ค่าภูมิคุ้มกันจะสูงขึ้นอย่างมาก ช่วยลดการติดเชื้อ แพร่เชื้อ และลดเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้มากขึ้น โดยต้องศึกษาต่อไปว่าระดับภูมิคุ้มกันจะสูงต่อเนื่องได้นานเพียงใด
“นอกจากนี้ กำลังอยู่ระหว่างการทดสอบวัคซีนสูตรไขว้ซิโนแวค-แอสตร้าเซนเนก้า ที่กระตุ้นเข็ม 3 ด้วย แอสตร้าเซนเนก้า หรือ ไฟเซอร์ อีกสูตรหนึ่ง รวมถึงกำลังเร่งศึกษากรณีการติดเชื้อโอมิครอนแล้วภูมิคุ้มกันหลังติดเชื้อจะช่วยจัดการสายพันธุ์เดลตาได้ด้วยหรือไม่ ” นพ.ศุภกิจ ระบุ