ในการแถลงกระทรวงสาธารณสุข สถานการณ์โควิด-19 ระลอก"โอมิครอน" โดย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แผนรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกเดือนมกราคม 2565 หรือ"โอมิครอน" มี 4 มาตรการ คือ
1.มาตรการสาธารณสุข จะมุ่งชะลอการระบาดเพื่อให้ระบบสาธารณสุขดูแลได้ ฉีดวัคซีนเพิ่มภูมิต้านทานให้ประชาชน คัดกรองตนเองด้วยATK ติดตามเฝ้าระวังกลายพันธุ์
2.มาตรการการแพทย์ มุ่งเน้นใช้ระบบดูแลที่บ้านและชุมชน (Home Isolation/Community Isolation) ระบบสายด่วนประสานการดูแลผู้ติดเชื้อ ช่องทางด่วนส่งต่อเมื่อมีอาการมากขึ้น และเตรียมพร้อมยาและเวชภัณฑ์ โดยในส่วนของยาฟาวิพิราเวียร์ยังมีประสิทธิภาพดีในการรักษาผู้ติดโควิด19 ถ้าเริ่มต้นให้เร็วรวมถึงโอมิครอนด้วย ขณะนี้มีสำรองประมาณ 158 ล้านเม็ด
3.มาตรการสังคม ประชาชนใช้การป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด(UP:Universal Prevention) และสถานบริการปลอดความเสี่ยงโควิด(COVID Free Setting)
4.มาตรการสนับสนุน ค่าบริการรักษาพยาบาล และค่าตรวจต่างๆ ทั้งนี้ ในปี 2565 จะก้าวเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นของโรคโควิด-19 โดยเชื้อลดความรุนแรง ฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิต้านทาน และชะลอการแพร่ระบาด
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า การจะเป็นโรคประจำถิ่นเกิดจากลักษณะตัวโรคลดความรุนแรงลง ประชาชนมีภูมิต้านทาน ระบบรักษามีประสิทธิภาพ ลดอัตราป่วยหนัก เพื่อให้อัตราเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำมาก สาเหตุที่โควิดเป็นโรคระบาดรุนแรง เพราะอัตราเสียชีวิตสูงถึง 3% และค่อยๆ ลดลง หากลดมาถึง 0.1% ก็จะเข้าข่ายโรคประจำถิ่นได้
ส่วนอีกนานหรือไม่ ตนได้ปรึกษากับกรมควบคุมโรคว่า ขณะนี้เป็นระลอกโอมิครอนที่จะอยู่ประมาณ 2 เดือนจากนั้นจะค่อยๆ ลดลง เกิดพีคเล็กๆ ไปอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ หากการจัดการวัคซีนดี ประชาชนร่วมฉีดให้มีภูมิต้าน โรคไม่กลายพันธุ์เพิ่ม การติดเชื้อไม่รุนแรงมากขึ้น ก็คาดว่าภายในปีนี้ จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นไปได้
และขณะนี้ได้มอบหมายให้กรมควบคุมโรคพิจารณาลดวันกักตัวกรณีเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ซึ่งเดิมจะต้องกักตัวนาน 14 วันซึ่งนานกว่ากรณีคนติดเชื้อที่รักษาในรพ.ที่อยู่ที่ 10 วัน จึงให้พิจารณาดูว่าสามารถลดวันกักตัวกลุ่มเสี่ยงสูงเหลือ 7 วันได้หรือไม่ รวมถึงการปรับนิยามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงใหม่ หากใส่หน้ากากอนามัยถือเป็นสัมผัสเสี่ยงต่ำ แต่หากสัมผัสระหว่างที่ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยจึงจะถือเป็นสัมผัสเสี่ยงสูง
ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จังหวัดที่พบติดเชื้อสูงคือ ชลบุรี สมุทรปราการ กทม. แนวโน้มเริ่มชะลอตัว หากลดกิจกรรมเสี่ยง ลดการเคลื่อนที่จะลดการแพร่ระบาด อย่างคลัสเตอร์กาฬสินธุ์ขณะนี้ผู้ติดเชื้อลด ควบคุมได้ เกิดจากความร่วมมือของประชาขน งดกิจกรรมเสี่ยง
ส่วนที่ชลบุรี ภูเก็ตขณะนี้มีการตรวจเชิงรุกมากขึ้น นำรถตรวจโควิดพระราชทานลงไปเพื่อควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ให้ดีขึ้น หากเคร่งครัดทุกมาตรการที่รัฐกำหนดรวมถึงการฉีดวัคซีน คาดภายใน 1-2 สัปดาห์ถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อไม่มากจะสามารถคุมสถานการณ์ได้ ทั้งนี้ ขอให้เข้ารับวัคซีนซึ่งขณะนี้มีเพียงพอในสต็อคมีแอสตร้าเซนเนก้ามากกว่า 10 ล้านโดส และไฟเซอร์มากกว่า 10 ล้านโดส
ย้ำมาตรการในหน่วยงานเคร่งครัดมากขึ้น คือ ขอให้ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ห้ามรับประทานอาหารร่วมกัน ให้ต่างคนต่างกิน และตรวจ ATK เป็นระยะอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งหรือสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรือตรวจเมื่อมีอาการ รวมทั้งหากมีอาการเป็นไข้หวัดก็ไม่ต้องมา พร้อมทั้งที่สำคัญคือ การฉีดวัคซีนเข็ม 4 โดยบุคลากรที่ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ไปแล้ว 3 เดือนให้มาฉีดเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน