svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

ปอท. คาดแนวโน้มอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ปี 65 ไม่เปลี่ยนรูปแบบแต่พัฒนามากขึ้น

รอง ผบก.ปอท. คาดแนวโน้มอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ปี 65 ไม่เปลี่ยนรูปแบบแต่พัฒนามากขึ้น ยืนยันตำรวจพร้อมพัฒนาด้านต่างๆ เพื่อติดตามจับกุม

     วันนี้ (3 ม.ค.) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวถึงแนวโน้มอาชญากรรมทางเทคโนโลยีใน ปี 65 ว่า เมื่อพิจารณาข้อมูลจากสถิติการเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ศูนย์บริการประชาชน บก.ปอท. ปี 61 - 64 พบว่า รูปแบบของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือใช้เทคโนโลยีในการกระทำความผิดที่มีประชาชนมาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ยังคงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท โดยในปี 64 มีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์จำนวน 698 ราย 

 

     โดยสาเหตุที่การด่าทอ ให้ร้ายกันในสื่อสังคมออนไลน์ ครองความเป็นอันดับ 1 มาตลอดหลายปี อาจเนื่องมาจาก ประชาชนเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น การโพสต์ การแสดงความคิดเห็น การส่งต่อข้อมูลที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายจึงมีมากขึ้น  

 

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
 

     ส่วนอันดับ 2 คือความเสียหายจากการถูกแฮก เพื่อปรับเปลี่ยน / ขโมย / ทำลายข้อมูลคอมพิวเตอร์ มีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์จำนวน 585 ราย ความเสียหายรวมประมาณ 67 ล้านบาท และอันดับ 3 คือ การหลอกขายสินค้า / บริการ พบว่ามาเป็นอันดับ 3 โดยมีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์จำนวน 445 ราย ความเสียหายรวมประมาณ 45 ล้านบาท 

 

     ซึ่งจากสถิติดังกล่าวข้างต้นทำให้สังเกตได้ว่า รูปแบบของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน หากไม่นับความผิดฐานหมิ่นประมาทแล้ว พบว่าจะมีอยู่ 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ การแฮกข้อมูล และการฉ้อโกงออนไลน์ เป็นหลัก ซึ่งพบว่าอาชญากรรมใน 2 รูปแบบนี้ คนร้ายมักอาศัยโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเอื้อประโยชน์ในการกระทำความผิด หรือปกปิดตัวตนไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสืบสวนหาตัวคนร้ายได้โดยง่าย 
 

ปอท. คาดแนวโน้มอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ปี 65 ไม่เปลี่ยนรูปแบบแต่พัฒนามากขึ้น

     พ.ต.อ.ศิริวัฒน์  กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าแนวโน้มอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในปี 65 ยังไม่น่าจะแตกต่างไปจากเดิม แต่คนร้ายอาจนำเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือเทคโนโลยีที่มีอยู่มาใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การให้ร้ายหรือระรานทางไซเบอร์(Cyber Bullying) , การหลอกลวงผ่านอีเมล (email scam) , การแฮกเพื่อเอาข้อมูลหรือเงินผ่านการลวงให้กด ล่อให้กรอก (Phishing) , มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware), การหลอกลวงขายสินค้า , การหลอกรักออนไลน์ (Romance Scam) , การหลอกรักลวงลงทุน (Hybrid Scam) , การหลอกลวงด้วยการโทรศัพท์โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ , การหลอกให้ลงทุนในลักษณะแชร์ออนไลน์และแชร์ลูกโซ่ , การขูดรีดดอกเบี้ยเงินกู้และการทวงหนี้ในลักษณะผิดกฎหมายจากแก๊งแอพพลิเคชั่นเงินกู้ , การปล่อยข่าวปลอมในโลกออนไลน์เพื่อหวังผลด้านต่าง ๆ (Fake News) เป็นต้น

 

     อย่างไรก็ตาม ประโยคที่ว่า “อาชญากรรมมักทิ้งร่องรอย” ยังคงใช้ได้กับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้าย ที่อาจพัฒนาตัวเองจากอาชญากรภาคพื้นดิน (On Ground) มาเป็นอาชญากรบนอากาศ (Online) ตำรวจจึงต้องมีการพัฒนาทักษะ ความรู้ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แต่ก็ยังจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนด้วย โดย ผบ.ตร.ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดดำเนินการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดในลักษณะดังกล่าว รวมถึงเน้นย้ำให้แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ประชาชนให้รู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยีด้วย 

 

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี