วันนี้ (29 ธ.ค.) ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นาย เกิดผล แก้วเกิด ในฐานะทนายความ ของ นางสาวจิดาภา ชีนารักษ์ (ผู้เสียหาย) หรือน้องชมพู่ ได้นำพยานหลักฐาน เข้ายื่นฟ้อง นาย ณภาภัช เนตรระหงษ์ หรือ "ทีน่า" แม่ค้าออนไลน์รับซื้อขายกระเป๋าแบรนด์เนมหรู ในความผิดฐาน "หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา" ต่อศาลอาญา จากกรณีดราม่ากระเป๋าแบรนด์เนมดัง Hermes (อ่านรายละเอียด) https://www.nationtv.tv/news/378856863
พร้อมเรียกค่าเสียหาย 700,000 บาท
ทนายเกิดผล กล่าวว่า วันนี้ตนในฐานะทนายความของน้องชมพู่ได้นำพยานหลักฐานมาฟ้องร้องต่อศาล เพื่อเอาผิด นาย ณภาภัช ในข้อหาหมิ่นประมาท และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 700,000 บาท หลังพบว่า คู่กรณีมีการ live สด, โพสต์ข้อความ, และแชร์ข้อความต่อ ในเพจและ instagram ของเจ้าตัว ในเชิงทำนองว่า ลูกความเป็นมิจฉาชีพ พร้อมกับใช้ปากกาที่กระเป๋าของลูกความว่าปลอม
พร้อมทั้งพูดกล่าวหาว่าลูกความหลอกลวงขายของปลอมให้ และยังมีการใช้ถ้อยคำข้อความทำนองกล่าวหาลูกความว่าเป็นลูกเนรคุณ โดยมีการกระทำความผิดระหว่างวันที่ 10 -13 ธ.ค. ที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่ต่างกรรมต่างวาระกันรวม 5 กรรม จนทำให้รู้ความรู้สึกว่าได้รับความเสียหายจากถ้อยคำและไลฟ์ดังกล่าว
ประกอบกับที่ผ่านมาได้มีการให้โอกาสคู่กรณีกล่าวขอโทษแต่คู่กรณีก็ไม่สำนึกผิด 3 หลังจากที่ไปออกรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งก็ยังคงโพสต์ข้อความดูถูกต่อว่ามาโดยตลอด จึงตัดสินใจให้ทนายความเข้ามาฟ้องร้องเอาผิดกับคู่กรณี โดยสารได้นัดไปสวนในเย็นวันที่ 28 กุมภาพันธ์ปีหน้า
เบื้องต้นจากการพูดคุยกับผู้เสียหายทราบว่า หลังจากเกิดเรื่องดังกล่าวคู่กรณีไม่เคยกล่าวขอโทษสำนึกผิดใดๆ และไม่ยอมจ่ายเงินค่ากระเป๋าให้ โดยให้ไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอง แม้ว่าจะมีใบรับรองมาจากสถาบันตรวจสอบกระเป๋าแบรนด์เนมชื่อดังแล้วก็ตาม และยังกะว่าจะได้รับความเสียหายเรื่อยมา ซึ่งคดีนี้จะแยกกับคดีที่คู่กรณีไม่ยอมจ่ายเงิน 2 ล้านบาทเป็นค่ากระเป๋าแบรนด์เนมต้นเรื่อง
สำหรับเรื่องการไม่ยอมจ่ายเงินค่ากระเป๋า 2 ล้านบาท ตนเองและลูกความมีพยานหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า คู่กรณีได้สัญญาว่า จะจ่ายเงิน 2 ล้านบาทให้จริง และไม่ได้เป็นถ้อยคำหรือข้อความในลักษณะการพูดเล่น ซึ่งถือว่าลักษณะดังกล่าวเป็นการให้คำสัญญาว่าจะให้ แต่ไม่ให้ ซึ่งก็ต้องดำเนินคดีไปตามขั้นตอน ทั้งนี้หากในภายหลังเจ้าตัวจะแสดงความขอโทษก็ต้องมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่าการที่จะกล่าวขอโทษนั้นมีความพยายามหรือจริงใจในการแสดงออกหรือไม่
ส่วนกรณีของการให้คำสัญญาว่าจะเปลี่ยนชื่อตนเองจาก "ทีน่า" เป็น "สรพงษ์" และมีการขอบ่ายเบี่ยงว่าชื่อ "สรพงษ์" ไม่ถูกโฉลกมีอักษรและวรรณยุกต์ที่เป็นกาลกิณี โดยจะขอเปลี่ยนเป็นชื่อ "ประยุทธ์" แทนและมีการประกาศผ่านโซเชียลว่าได้เปลี่ยนชื่อแล้ว แต่จากการตรวจสอบของทนายความล่าสุด เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ที่ผ่านมา พบข้อมูลในทะเบียนราษฎร์ "ทีน่า" ยังคงใช้ชื่อและนามสกุลเดิม โดยไม่ได้เปลี่ยนเป็น "สรพงษ์" หรือ "ประยุทธ์" และเมื่อวานนี้จึงเข้าไปตรวจสอบในทะเบียนราษฎร์อีกครั้งหนึ่งว่าชื่อนามสกุลจริงของคู่กรณีคืออะไร ก็พบว่ายังคงใช้ชื่อและนามสกุลเดิม ซึ่งถือได้ว่าคู่กรณีไม่ได้ทำตามสัญญา แต่ลูกความไม่ถือสาเอาความรู้สึกดังกล่าวเป็นคดี