นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในช่วงวันหยุดยาว ทำให้แหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยเฉพาะในสถานประกอบการร้านอาหารควรมีการเฝ้าระวังความเสี่ยงตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยขอให้ปฏิบัติดังนี้
1) ทำความสะอาดโต๊ะทันทีหลังใช้บริการ และจัดทำสัญลักษณ์แสดงการทำความสะอาด
2) ทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมและห้องน้ำ ทุก 1-2 ชั่วโมง
3) จัดอุปกรณ์กินอาหารเฉพาะบุคคล กรณีที่ต้องกินหม้อหรือภาชนะเดียวกัน ต้องจัดอุปกรณ์ตักอาหารเฉพาะบุคคลเช่นเดียวกัน และต้องใช้ช้อนกลางส่วนตัว
4) กรณีจัดบริการอาหารรูปแบบผู้บริโภคบริการตนเองหรือบุพเฟ่ต์ ต้องจัดบริการถุงมือให้กับผู้บริโภคในขณะใช้
5) จัดบริการเจลแอลกอฮอล์ประจำทุกโต๊ะ หรือบริเวณที่เข้าถึงง่าย กรณีศูนย์อาหารให้จัดบริการเจลแอลกอฮอล์ประจำร้านหรือประจำทุกแผง
6) เว้นระยะห่างระหว่างบุคคลและโต๊ะกินอาหาร 1-2 เมตร หากมีพื้นที่จำกัดมีระยะไม่ถึง 1 เมตร ให้ทำฉากกั้นในกรณีพื้นที่มีเครื่องปรับอากาศ เว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะ 2 เมตร และไม่นั่งตรงข้ามกัน โดยจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการไม่ให้แออัด หรือ มีความหนาแน่นผู้ใช้บริการไม่เกิน 1 : 4 ตารางเมตร และปฏิบัติตามมาตรการของพื้นที่
7) จำกัดระยะเวลากินอาหารไม่เกิน 2 ชั่วโมง
8) มีการจัดการระบบระบายอากาศ โดยเปิดประตู หน้าต่าง อย่างน้อย 30 นาที ก่อนเปิด - ปิดระบบปรับอากาศ และมีการระบายอากาศที่เหมาะสมต่อจำนวนคน รวมทั้งพื้นที่ปรับอากาศให้เปิดระบายอากาศในพื้นที่กินอาหารทุก 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ ห้องน้ำควรมีระบบระบายอากาศที่ดี หรือเปิดพัดลมระบายอากาศในห้องน้ำตลอดเวลาที่ให้บริการ
“ทั้งนี้ ขอความร่วมมือให้ผู้รับบริการคัดกรองความเสี่ยงก่อนเข้าร้านด้วย “ไทยเซฟไทย” อยู่เสมอ และสวมหน้ากากอนามัยให้ถูกต้องตลอดเวลา ยกเว้นตอนกินอาหารเท่านั้น และนั่งกินอาหารหรือใช้บริการ ในร้านอาหารไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง สำหรับผู้ใช้บริการที่ต้องการเข้าร้านที่มีเครื่องปรับอากาศ ควรฉีดวัคซีนครบ ตามเกณฑ์ที่กรมควบคุมโรคกำหนด หรือมีผลตรวจ ATK เป็นลบไม่เกิน 7 วัน และต้องปฏิบัติตามมาตรการ UP-DMHTA อย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ ผู้รับบริการสามารถประเมินหรือร้องเรียนสถานประกอบการให้ปฏิบัติได้ตามมาตรการ COVID Free Setting ได้ ผ่าน 3 ช่องทาง คือ ช่องทางที่ 1 สแกน QR Code ใน E-Certificate ของสถานประกอบการที่ไปใช้บริการ ช่องทางที่ 2 ประเมินผ่านทางเว็บไซต์ Thai Stop COVID Plus ของกรมอนามัย และ ช่องทางที่ 3 ประเมินผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ “ผู้พิทักษ์อนามัย COVID Watch” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว