13 พฤศจิกายน 2564 น.ส.น้อย (นามสมมติ) อายุ 37 ปี ชาว อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ได้เดินทางเข้าร้องขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรมที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอนางรอง หลังจากถูกเสี่ยใหญ่เจ้าของธุรกิจชื่อดังในอำเภอนางรอง ฟ้องร้องกล่าวหาฉ้อโกงโดยเรียกเงินถึง 15 ล้านบาท ทั้งยังฟ้องเอาผิด แม่ซึ่งป่วยจิตเวช น้องชาย และน้องสาวที่ยังเป็นเยาวชนอีก 3 คน โดยกล่าวหาว่าร่วมกันฉ้อโกง ทั้งที่แม่และน้องทั้งสองคนไม่ได้รู้เรื่องที่ตนแอบคบหาหรือเป็นกิ๊กกับเสี่ยคนดังกล่าว ส่วนตัวเองก็ยืนยันว่าไม่ได้ฉ้อโกงเสี่ย เพราะได้คบหาเป็นกิ๊กมีสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันมาตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งเสี่ยเป็นฝ่ายส่งเสียเลี้ยงดูด้วยความเสน่ห์หาไม่ได้มีการหลอกลวง แต่พอภรรยาเสี่ยจับได้ว่าเสี่ยมาแอบคบหาและมีสัมพันธ์กับตนเอง เสี่ยกลับให้โกหกภรรยาว่าแค่รู้จักกัน ส่วนเงินที่เสี่ยโอนให้ใช้ก็แค่ขอยืม ด้วยความที่ไว้ใจจึงพูดไปตามที่เสี่ยบอกทุกอย่าง แต่สุดท้ายเสี่ยกลับฟ้องร้องกล่าวหาว่าตนเองฉ้อโกง แถมยังฟ้องเอาผิดแม่ที่ป่วยจิตเวช น้องชายและน้องสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
โดย น.ส.น้อย เล่าว่า ตนได้รู้จักกับเสี่ยเมื่อปี 2557 เพราะไปซื้อเก๋งกับเต็นท์รถของเสี่ย มาไว้ใช้งาน แต่พอซื้อมารถก็เริ่มมีปัญหา ทำให้ตนต้องติดต่อกับเสี่ยเจ้าของเต็นท์บ่อยครั้ง จนเกิดความสนิทสนมและมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน จากนั้นก็แอบคบหาและมีสัมพันธ์กันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2557 กระทั่งปี 2559 ภรรยาเสี่ยจับได้ว่าเสี่ยแอบมีกิ๊กหรือมีสัมพันธ์กับตนเอง จากนั้นเสี่ยก็ติดต่อมาหาตนแล้วบอกกับตนเองว่าถ้าภรรยา ถามเรื่องเงินที่โอนให้ก็ให้บอกว่าเป็นเงินที่ยืม ทั้งยังบอกให้ตนเองไปมีครอบครัวได้เสี่ยไม่ว่าอะไร หลังถูกภรรยาจับได้ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกับเสี่ย และตนเองก็ไปมีครอบครัวมีลูกกับผู้ชายคนอื่น แต่จู่ๆ ปี 2559 ก็ได้รับหมายศาลส่งไปที่บ้านพอเปิดอ่านก็แทบช็อก เพราะถูกเสี่ยฟ้องกล่าวหาว่าตนเอง รวมถึงแม่ที่ป่วยเป็นจิตเวชมาตั้งแต่ปี 2553 ก่อนที่ตนจะคบหากับเสี่ยด้วยซ้ำ รวมถึงน้องชายคนกลาง และน้องสาวคนเล็กซึ่งตอนนั้นอายุ 16 ปียังเป็นเยาวชนก็ถูกเสี่ยฟ้องเอาผิดฐานฉ้อโกงด้วยเช่นกัน ทั้งที่แม่ และน้องทั้งสองคนไม่ได้รู้เรื่องที่ตนคบหากันเสี่ยเลย โดยเสี่ยได้ฟ้องเรียกเงินที่เคยส่งเสียเลี้ยงดูตนเองคืน 15 ล้านบาท ต่อมาเสี่ยได้ถอนฟ้องน้องชาย จึงเหลือตนเอง แม่ และน้องสาวคนเล็กซึ่งศาลชั้นต้นได้สั่งจำคุก 9 ปี ตนจึงนำเงินที่มีอยู่ไปขอยื่นประกันตัวชั้นศาลเพื่อต่อสู้คดี
กระทั่งล่าสุดศาลฎีกาได้ตัดสินจำคุกแม่ 5 ปี ตอนนี้แม่ถูกส่งเข้าเรือนจำไปแล้ว ส่วนตนเองและน้องสาวอยู่ระหว่างรอศาลตัดสิน ตนก็พยายามโทรศัพท์ไปพูดคุยขอความเห็นใจกับเสี่ย ซึ่งเสี่ยก็บอกว่าถ้าจะให้ถอนฟ้องต้องจ่ายเงินคืนมา 8 ล้านบาท ตนก็รับปากจะทยอยหาเงินมาคืนให้เพราะไม่อยากให้แม่กับน้องต้องมาเดือดร้อนด้วย แต่ช่วงที่ฟ้องร้องกันอยู่เสี่ยก็ยังติดต่อมาหาตนก็คบหามีสัมพันธ์กันอีกรอบ และเสี่ยก็ยังให้เงินใช้เหมือนเดิมอีก ตนจึงเก็บเงินดังกล่าวโอนคืนให้เสี่ยเรื่อยๆ ตามที่เสี่ยบอกหากจ่ายคืน 8 ล้านจะถอนฟ้องให้ ซึ่งตอนนี้ตนก็โอนคืนไปแล้วกว่า 1 ล้านบาท
แต่พอแม่ถูกศาลสั่งจำคุกและส่งตัวเข้าเรือนจำไปแล้ว ตนก็เริ่มไม่มั่นใจว่าถ้าตนทยอยจ่ายเงินคืนเสี่ยครบ 8 ล้านแล้ว เสี่ยจะถอนฟ้องตามที่รับปากไว้หรือไม่ จึงตัดสินใจออกมาร้องขอความเป็นธรรมอยากวิงวอนให้ผู้รู้กฎหมาย หรือหน่วยงานรัฐช่วยเหลือด้วย เพราะตอนนี้สงสารแม่มากที่ป่วยเป็นจิตเวชมีหลักฐานการรักษาที่ รพ.แต่กลับถูกจับติดคุกทั้งที่ไม่ได้รู้เรื่อง และสงสารน้องสาวที่ไม่รู้ว่าศาลจะสั่งจำคุกกี่ปี เรื่องราวที่เกิดขึ้นตนยืนยันว่าไม่ได้ฉ้อโกงหรือหลอกลวงเสี่ย แต่เป็นเงินที่เสี่ยให้ด้วยความเสน่ห์หาครั้งละ 30,000 บ้าง 50,000 บ้าง ไม่ได้ให้เป็นก้อน แต่หากจะเอาผิดจริงๆ ก็ขอให้เอาผิดกับตนเองคนเดียว
โดย - สุรชัย พิรักษา